คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 578/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมและฆ่าเด็กชายป.โดยเจตนา ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก 2 ปีริบของกลางคำขอนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องคืนของกลางแก่เจ้าของ ดังนี้ ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ในส่วนที่เด็กชาย ป. ถูกฆ่า โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบิดาเด็กชายป. เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในฐานะผู้เข้าจัดการแทนเด็กชายป. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2)ต่อมาโจทก์ร่วมตายลง ว.พี่ชายเด็กชายป.ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ร่วมหามีสิทธิเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายตามมาตรา 29 ไม่เพราะโจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้จัดการแทนเด็กชายป.ซึ่งเป็นผู้เสียหายเท่านั้น ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานฆ่าเด็กชายป. โจทก์ร่วมมีอาวุธเหล็กแหลมเดินเข้าไปหาจำเลย จำเลยเดินถอยหลังเมื่อโจทก์ร่วมเข้าไปหาห่างประมาณ 5-6 เมตร จำเลยยิงปืนขึ้นฟ้า1 นัด และยิงลงที่พื้นอีก 1 นัด เด็กชายป. ผู้ตายถือไม้ขนาดเท่าแขนวิ่งเข้าไปจะตีจำเลย เหตุเกิดในเวลากลางคืน ภยันตรายที่ละเมิดต่อกฎหมายใกล้จะเกิดกับจำเลยทั้งสองด้าน ในขณะนั้นจำเลยตัวคนเดียวในเวลาที่คับขันไม่อาจคาดหมายได้ว่าภยันตรายจะเกิดขึ้นกับตนนั้นมีมากน้อยเพียงใด จำเลยใช้อาวุธปืนที่อยู่ในมือยิงไปทางเด็กชาย ป. ซึ่งเป็นผู้ที่จะทำให้เกิดภยันตรายต่อจำเลยที่ใกล้ชิดที่สุดก่อนเพื่อป้องกันภยันตรายที่จะเกิดขึ้นโดยไม่มีโอกาสเลือกที่จะป้องกันโดยวิธีอื่นได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ปืนพกหมายเลขทะเบียน กท. 2908155ยิงนายตระกูล อนันตกุล ผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนถูกผู้เสียหายเพียงได้รับอันตรายแก่กาย หลังจากนั้นจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงเด็กชายประกอบ ชูวาตม์หรืออนันตกุล โดยเจตนาฆ่าเป็นเหตุให้เด็กชายประกอบถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 91, 33 และริบของกลางระหว่างพิจารณา นายตระกูล อนันตกุล ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 68, 69 จำคุก 2 ปี ริบของกลาง คำขอนอกจากนี้ให้ยกโจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ คืนของกลางแก่เจ้าของ ระหว่างฎีกาโจทก์ร่วมตายนายวุฒิชัย ชูอาตม์ บุตรโจทก์ร่วม ยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตาย ศาลฎีกาอนุญาต โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก 2 ปี ริบของกลาง คำขอนอกจากนี้ให้ยกศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง คืนของกลางแก่เจ้าของ ดังนี้เป็นที่เห็นได้ว่า การกระทำตามที่โจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษมาในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโดยมิได้กระทำเพื่อป้องกันนั้นทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ร่วมฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยมิใช่เป็นกรณีที่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาเช่นนี้ จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่นายวุฒิชัย ชูอาตม์ ผู้เข้าดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วมฎีกาว่า การที่จำเลยฆ่าเด็กชายประกอบ ชูอาตม์ผู้ตาย ไม่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันนั้น ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนานี้ ผู้เสียหายคือเด็กชายประกอบซึ่งถูกฆ่าถึงตายส่วนโจทก์ร่วมคือนายตระกูล อนันตกุล ซึ่งเป็นบิดาเด็กชายประกอบมีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ก็โดยฐานะผู้เข้าจัดการแทนเด็กชายประกอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2)เมื่อต่อมานายตระกูลตายลง นายวุฒิชัยซึ่งเป็นบุตรนายตระกูลและเป็นพี่ชายเด็กชายประกอบหามีสิทธิเข้าดำเนินคดีต่างนายตระกูลตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 29 ไม่ เพราะนายตระกูลเป็นเพียงผู้จัดการแทนเด็กชายประกอบผู้เสียหายเท่านั้น นายตระกูลไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ที่ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของ นายวุฒิชัย ให้นายวุฒิชัยซึ่งเป็นบุตรเข้าดำเนินคดีต่างนายตระกูลนั้น หมายความเพียงให้เข้าดำเนินคดีต่างนายตระกูลเฉพาะในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ซึ่งนายตระกูลเป็นผู้เสียหายเองเท่านั้น มิได้ให้เข้าดำเนินคดีต่างนายตระกูลในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนานายวุฒิชัยจึงไม่มีสิทธิฎีกาในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาต่างนายตระกูลโจทก์ร่วม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้เช่นกันคดีคงมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาตามฎีกาของโจทก์เพียงว่าการที่จำเลยกระทำการป้องกันด้วยการยิงผู้ตายถึงแก่ความตายนั้นเป็นการเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เท่านั้น ในปัญหานี้ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงต่อเนื่องจากการกระทำของจำเลยในข้อหาพยายามฆ่าโจทก์ร่วมซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งข้อเท็จจริงส่วนนี้ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนแล้วฟังเป็นยุติว่า โจทก์ร่วมมีอาวุธเหล็กแหลม จะเข้าวิวาทกับจำเลย เดินเข้าไปหาจำเลย จำเลยเดินถอยหลังออกไปทางปากซอย เมื่อโจทก์ร่วมเข้าไปห่างประมาณ 5-6 เมตร จำเลยยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัด และยิงลงที่พื้นอีก 1 นัด ในส่วนของการกระทำของจำเลยที่ยิงผู้ตายอันจะต้องวินิจฉัยต่อไปนั้น เป็นข้อเท็จจริงต่อเนื่องกับการกระทำตามที่ยุติข้างต้น ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ได้ความตามคำเบิกความของนางสาวเฉลิมศรี เลขสาร พยานโจทก์ว่าเห็นจำเลยชักอาวุธปืนออกมายิงสองนัด ขณะนั้นจำเลยก็เดินถอยหลังออกไปทางปากซอย ในขณะนั้นเห็นผู้ตายวิ่งเข้ามาถือไม้ขนาดโตประมาณกว่าแขนของพยาน และเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่าขณะที่เห็นผู้ตายวิ่งถือไม้เข้ามานั้น จำเลยยังคงหันหน้าไปทางโจทก์ร่วมและหันหลังไปทางปากซอยอยู่ ขณะที่ผู้ตายวิ่งเข้ามาใกล้จะถึงนั้นจำเลยก็หันกลับไปและเห็นผู้ตายล้มลง ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ปากนี้เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยยิงผู้ตายในขณะที่ผู้ตายถือไม้เข้ามาใกล้จำเลยแล้ว และข้อเท็จจริงได้ความจากคำของนายปริญญา ครุฑไชยันต์ พยานโจทก์อีกคนหนึ่งซึ่งอยู่กับผู้ตายที่ปากซอยที่เกิดเหตุก่อนที่ผู้ตายจะถูกจำเลยยิงนั้นได้ความตอนหนึ่งว่า ผู้ตายขอร้องให้พยานอยู่เป็นเพื่อนที่ปากซอยเพราะเกรงว่าโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบิดาจะถูกทำร้าย อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้ตายได้รู้เรื่องที่โจทก์ร่วมจะเข้าไปหาเหตุวิวาทกับจำเลย ในเมื่อจำเลยยิงปืนขู่โจทก์ร่วมและเดินถอยหลังมาทางปากซอย ผู้ตายก็ถือไม้วิ่งเข้าไปที่จำเลยขณะที่ถอยหลังมา แสดงว่าทั้งโจทก์ร่วมและผู้ตายจะเข้าไปทำร้ายจำเลยในระยะเวลาที่ต่อเนื่องกัน พฤติการณ์ดังกล่าวนี้เป็นที่เห็นได้ว่าภยันตรายที่ละเมิดต่อกฎหมายในขณะที่จำเลยหันมายิงผู้ตายนั้นมีอยู่ ทั้งในการกระทำของโจทก์ร่วมที่ถือเหล็กแหลมเข้ามาหาจำเลย และการกระทำของผู้ตายที่ถือไม้ขนาดเท่าแขนวิ่งเข้ามาจะตีจำเลย ในเมื่อเหตุเกิดในเวลากลางคืนภยันตรายที่ละเมิดต่อกฎหมายใกล้ที่จะเกิดกับจำเลยทั้งสองด้าน ในขณะนั้นจำเลยตัวคนเดียวในเวลาที่คับขันเช่นนี้เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยไม่อาจคาดหมายได้ว่าภยันตรายที่จะเกิดกับตนนั้นมีมากน้อยเพียงใด เพราะถ้าปล่อยให้ผู้ตายตีแล้วโจทก์ร่วมก็อาจจะเข้ามาแทงทำร้ายจำเลยจนถึงแก่ความตายได้ทางที่จำเลยปฏิบัติในขณะนั้นคือการใช้อาวุธปืนที่อยู่ในมือยิงไปทางผู้ตายซึ่งเป็นผู้ที่จะทำให้เกิดภยันตรายต่อจำเลยที่ใกล้ชิดที่สุดก่อนซึ่งเมื่อพิจารณาถึงการกระทำของจำเลยที่ยิงขู่โจทก์ร่วมในครั้งแรกแล้วก็เป็นข้อที่แสดงให้เห็นว่า ถ้ายังไม่มีเหตุจวนตัวจำเลยก็มิได้ใช้อาวุธปืนยิงไปทางที่ผู้จะทำให้ตนเกิดภยันตราย ต่อเมื่อมีเหตุจวนตัวจำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงไปทางผู้ตายเพื่อป้องกันภยันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของผู้ตายและโจทก์ร่วมเช่นนี้เป็นที่เห็นได้ว่า จำเลยกระทำไปโดยไม่มีโอกาสเลือกที่จะป้องกันภยันตรายได้โดยวิธีอื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ข้อที่โจทก์อ้างมาในฎีกาว่าผู้ตายไม่มีไม้เป็นอาวุธก็ดีหรือข้อที่อ้างว่าผู้ตายยังอยู่ห่างกับจำเลยก็ดีนั้นเป็นการขัดแย้งกับพยานของโจทก์เองจึงรับฟังไม่ได้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share