คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5776/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภาษีหัก ณ ที่จ่ายนั้น ประมวลรัษฎากร มาตรา 3 จตุทศ, 50, 52 ให้บุคคลผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินหักภาษีเงินได้ทุกคราวที่มีการจ่ายเงินได้พึงประเมินเกี่ยวกับค่าจ้างและนำส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอภายใน 7 วัน จำเลยที่ 1 ผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินต้องหักภาษีทุกคราวที่มีการจ่าย ถ้าจำเลยที่ 1 มิได้หักและนำส่งเงินภาษีให้ถูกต้อง จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกับโจทก์ที่ 1 ผู้มีเงินได้พึงประเมินด้วยตามมาตรา 54 แห่งประมวลรัษฎากร เช่นนี้ ย่อมเห็นได้ว่าเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย ถ้าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินให้โจทก์ที่ 1 โดยตรงจำเลยที่ 1 มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายในคราวที่จ่ายและนำส่งให้ถูกต้อง แต่เงินซึ่งได้จากการบังคับคดีสำหรับค่าจ้างที่ค้างชำระ เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้จ่ายให้โจทก์ที่ 1 กรณีเช่นนี้ถือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินได้พึงประเมินให้โจทก์ที่ 1 แทนจำเลยที่ 1 เท่ากับจำเลยที่ 1 เป็นผู้จ่ายเองจำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิจะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกักเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายไว้ได้ เพื่อจะได้ส่งเป็นเงินภาษีต่อไป
การหักภาษี ณ ที่จ่ายต้องหักทุกคราวที่มีการจ่าย เมื่อจ่ายเงินได้พึงประเมินในคราวใดเป็นจำนวนเท่าใด ก็ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินในการจ่ายในคราวนั้นแต่จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ขอให้กักไว้เป็นภาษี ณ ที่จ่ายในคดีนี้ จำเลยที่ 1 คิดจากเงินได้พึงประเมินทั้งหมดที่จำเลยที่ 1 จ่ายให้แก่โจทก์ที่ 1 รวมทั้งค่าจ้างที่จ่ายไปก่อนแล้ว แต่จำเลยที่ 1 มิได้หักภาษีไว้ดังนั้นจะเอาเงินได้พึงประเมินที่จ่ายไปก่อนแล้วมาคิดหักเป็นภาษีในคราวนี้ด้วยย่อมไม่ชอบ จำเลยที่ 1คงมีสิทธิขอหักภาษี ณ ที่จ่ายเฉพาะเงินได้พึงประเมินเกี่ยวกับค่าจ้างสำหรับการจ่ายในคราวนี้เท่านั้น
เงินดอกเบี้ยของค่าจ้างมิใช่ค่าจ้างที่จะหักภาษี ณ ที่จ่ายอย่างค่าจ้างได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันใช้เงินค่าจ้างแรงงานจำนวน ๗๖๕,๙๖๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๑ ศาลแรงงานกลางออกคำบังคับและหมายบังคับคดี เจ้าพนักงาน-บังคับคดีดำเนินการบังคับคดีและรายงานว่าได้อายัดเงินค่ารับเหมาก่อสร้างซึ่งจำเลยที่ ๑ มีสิทธิได้รับจากกรมชลประทานตามคำขอของโจทก์ที่ ๑ และกรมชลประทานได้ส่งเงินในส่วนที่จะเอาชำระหนี้โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๘๑๗,๑๘๔ บาท ต่อมาจำเลยที่ ๑ แถลงว่าเงินที่โจทก์ที่ ๑ จะได้รับเป็นค่าจ้างของโจทก์ที่ ๑ นั้น จำเลยที่ ๑ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายเพื่อส่งกรมสรรพากรคิดเป็นเงิน๒๗๙,๘๑๙.๒๐ บาท ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินดังกล่าวเพื่อจำเลยที่ ๑ จะได้นำไปชำระภาษี ณ กรมสรรพากรต่อไป โจทก์ที่ ๑ แถลงว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิที่จะขออายัดเงินดังกล่าวเพราะเป็นเงินคนละส่วนกับที่จำเลยที่ ๑ กล่าวอ้างและเป็นเงินคนละปีภาษีกันด้วย เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งคำแถลงของโจทก์ที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๑ ทราบและให้ยื่นคำร้องต่อศาลภายใน ๘ วัน ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำแถลงของโจทก์ที่ ๑ ศาลแรงงานกลางนัดพร้อม ในวันนัดพร้อมจำเลยที่ ๑ แถลงขอให้ศาลแรงงานกลางกักเงินจำนวนดังกล่าวและขอรับเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระเป็นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายของโจทก์ที่ ๑ ที่กรมสรรพากรต่อไป โจทก์ที่ ๑ แถลงคัดค้านว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิขอให้กักเงินจำนวนดังกล่าว ขอให้ศาลแรงงานกลางยกคำขอของจำเลยที่ ๑และขอรับเงินจำนวน ๕๓๗,๓๖๔.๘๐ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๑ ไม่โต้แย้ง ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งเงินที่กรมชลประทานส่งมาตามคำสั่งอายัดมาศาลและเบิกจ่ายเงินจำนวน๕๓๗,๓๖๔.๘๐ บาท ให้โจทก์ที่ ๑ และให้ไต่สวนว่าเฉพาะเงินจำนวน ๒๗๙,๘๑๙.๒๐ บาท ที่จำเลยที่ ๑ จะขอกักไว้และขอรับไปเพื่อชำระเป็นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายของโจทก์ที่ ๑ ได้หรือไม่ระหว่างรอไต่สวน โจทก์ที่ ๑ ยื่นคำร้องอ้างว่าศาลแรงงานไม่มีอำนาจสั่งและเงินดังกล่าวตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ที่ ๑ แล้ว ขอให้งดการไต่สวนและยกคำขอของจำเลยที่ ๑ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ ๑ ดังกล่าว ในวันไต่สวนโจทก์ที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ แถลงรับข้อเท็จจริงกันเกี่ยวกับการเป็นลูกจ้างและเงินค่าจ้างที่จ่ายให้แก่กัน ตลอดถึงภริยาและบุตรของโจทก์ที่ ๑ที่หักค่าลดหย่อนภาษีได้ ศาลแรงงานกลางจึงงดการไต่สวน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำขอของจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางว่า จำเลยที่ ๑ ได้จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ที่ ๑ ไปก่อนแล้วบางส่วน โดยจำเลยที่ ๑ มิได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ และในการจ่ายเงินคราวนี้จ่ายเป็นเงินค่าจ้างตามคำพิพากษา๗๖๕,๙๖๐ บาท ส่วนเงินที่กรมชลประทานส่งมา ๘๑๗,๑๘๔ บาท เกินกว่าจำนวนค่าจ้างตามคำพิพากษา เพราะจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดดอกเบี้ยด้วย เงินที่เกินมาจึงเป็นดอกเบี้ยของเงินค่าจ้างจำเลยที่ ๑ ขอให้กักเงินค่าภาษีหัก ณ ที่จ่ายจำนวน ๒๗๙,๘๑๙.๒๐ บาท โดยคิดภาษีเงินได้ของโจทก์ที่ ๑ จากค่าจ้างทั้งหมดที่จำเลยที่ ๑ ได้จ่ายให้โจทก์ที่ ๑ ไปแล้ว กับที่จะจ่ายตามคำพิพากษาคราวนี้รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินที่จะต้องรับผิดด้วย
ข้อต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ มีว่า จำเลยที่ ๑ จะขอกักเงินที่กรมชลประทานส่งมาให้เจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งอายัด และขอรับเงินดังกล่าวไปเพื่อชำระภาษีเงินได้ของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ต้องหัก ณ ที่จ่ายได้หรือไม่ เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยดังกล่าว เงินจำนวน ๒๗๙,๘๑๙.๒๐ บาท ที่พิพาทกัน จำเลยที่ ๑ขอให้กักไว้เป็นค่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยคิดจากเงินค่าจ้างซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินของโจทก์ที่ ๑ทั้งหมด แต่มีเงินค่าจ้างซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินบางส่วน จำเลยที่ ๑ ได้จ่ายให้โจทก์ที่ ๑ ไปก่อนแล้ว แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ เกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๓ จตุทศ, ๕๐, ๕๒ ให้บุคคลผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินหักภาษีเงินได้ทุกคราวที่มีการจ่ายเงินได้พึงประเมินเกี่ยวกับค่าจ้าง และนำส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอภายใน ๗ วัน จำเลยที่ ๑ผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินต้องหักภาษีทุกคราวที่มีการจ่าย ถ้าจำเลยที่ ๑ มิได้หักและนำส่งเงินภาษีให้ถูกต้อง จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดร่วมกับโจทก์ที่ ๑ ด้วย ตามมาตรา ๕๔ แห่งประมวลรัษฎากร จึงเห็นได้ว่าเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายถ้าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินให้โจทก์ที่ ๑โดยตรง จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายในคราวที่จ่ายและนำส่งให้ถูกต้อง แต่เงินรายนี้เป็นการบังคับคดีสำหรับค่าจ้างที่ค้างชำระ เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้จ่ายให้โจทก์ที่ ๑ กรณีเช่นนี้ถือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินได้พึงประเมินให้โจทก์ที่ ๑ แทนจำเลยที่ ๑ เท่ากับจำเลยที่ ๑เป็นผู้จ่ายเอง จำเลยที่ ๑ จึงมีสิทธิจะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกักเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายไว้ได้เพื่อจะได้ส่งเป็นเงินภาษีต่อไป แต่การที่จะหักเงินภาษี ณ ที่จ่ายต้องหักทุกคราวที่มีการจ่าย เมื่อจ่ายเงินได้พึงประเมินในคราวใดเป็นจำนวนเท่าใด ก็ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินในการจ่ายในคราวนั้น สำหรับจำนวนเงินที่ให้กักไว้เป็นภาษีหัก ณ ที่จ่ายในคดีนี้เป็นเงิน๒๗๙,๘๑๙.๒๐ บาท จำเลยที่ ๑ คิดจากเงินได้พึงประเมินทั้งหมดที่จำเลยที่ ๑ จ่ายให้แก่โจทก์ที่ ๑ซึ่งรวมทั้งค่าจ้างที่จ่ายไปก่อนแล้วแต่จำเลยที่ ๑ มิได้หักภาษีไว้ ดังนั้นจะเอาเงินได้พึงประเมินที่จ่ายไปก่อนแล้วมาคิดหักเป็นภาษีในคราวนี้ด้วยย่อมไม่ชอบ จำเลยที่ ๑ คงมีสิทธิขอหักภาษี ณ ที่จ่ายเฉพาะเงินได้พึงประเมินเกี่ยวกับค่าจ้างสำหรับการจ่ายในคราวนี้เท่านั้น ปรากฏว่าการจ่ายเงินค่าจ้างในคดีนี้มีเพียง ๗๖๕,๙๖๐ บาท นอกนั้นเป็นดอกเบี้ยซึ่งมิใช่ค่าจ้างที่จำเลยที่ ๑ จะหักภาษีณ ที่จ่ายอย่างค่าจ้างได้ เงินได้พึงประเมินจำนวน ๗๖๕,๙๖๐ บาท จะเป็นภาษีหัก ณ ที่จ่ายของโจทก์ที่ ๑ จำนวนเท่าใด จำเลยที่ ๑ มิได้คิดรายละเอียดไว้ คงมีแต่ขอให้กักภาษี ณ ที่จ่ายเพื่อจำเลยที่ ๑ นำส่งกรมสรรพากรเป็นเงิน ๒๗๙,๘๑๙.๒๐ บาท แต่เงินภาษีส่วนนี้คิดจากเงินได้พึงประเมินซึ่งเป็นค่าจ้างที่จ่ายไปในคราวอื่นและดอกเบี้ยด้วย จึงเป็นจำนวนภาษีหักณ ที่จ่ายไม่ถูกต้อง จำเลยที่ ๑ มีสิทธิจะขอให้หักภาษี ณ ที่จ่ายได้ในจำนวนเงินได้พึงประเมินสำหรับค่าจ้าง ๗๖๕,๙๖๐ บาท โดยให้คิดตามวิธีการหักภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับโจทก์ที่ ๑ ที่ประมวลรัษฎากรกำหนดไว้เท่านั้น อุทธรณ์จำเลยที่ ๑ ฟังขึ้นเฉพาะส่วนนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้หักภาษี ณ ที่จ่ายได้ โดยให้คิดจากเงินได้พึงประเมิน๗๖๕,๙๖๐ บาท นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำสั่งศาลแรงงานกลาง.

Share