คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1075/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดินพิพาทจากโจทก์โดย การส่งหินทรายให้โจทก์เป็นการชำระราคาครบถ้วนแล้วกรณีถือ ว่าจำเลยได้ ชำระหนี้ตาม สัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดินพิพาทนั้นให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยจึงมีอำนาจฟ้องบังคับให้โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยได้ โดย หาจำเป็นต้อง มีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อโจทก์ฝ่ายต้อง รับผิดจึงจะฟ้องบังคับคดีได้ แต่ ประการใดไม่ ทั้งนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บุกรุกเข้าไปอยู่อาศัยในบ้านเลขที่ 8ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ได้มอบให้ทนายโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยขนย้ายครอบครัวและสิ่งของออกไปจากบ้านดังกล่าวจำเลยได้รับหนังสือแล้วเพิกเฉย จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์ที่ควรได้เดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 6 ปีเป็นเงิน 360,000 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 5,000 บาท ขอให้จำเลยขนย้ายครอบครัวและสิ่งของออกไปจากบ้านของโจทก์เลขที่ 8 ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 360,000 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายครอบครัวและสิ่งของออกไปจากบ้านโจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเข้าอยู่ในบ้านดังกล่าวโดยความรู้เห็นยินยอมของโจทก์ เมื่อปลายปี 2520 โจทก์ทำการจัดสรรที่ดินพร้อมบ้านเรือนแถว (ทาวน์เฮาส์) 3 ชั้น ในที่ดินแต่ละแปลงออกขาย จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมบ้านเรือนแถวแปลงที่ 5ของแถวที่ 1 ในราคา 380,000 บาท ในการชำระราคาโจทก์ตกลงให้จำเลยชำระด้วยหิน ทราย อันเป็นวัสดุก่อสร้างที่โจทก์ต้องใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างอื่นในธุรกิจจัดสรรที่ดินของโจทก์จำเลยได้จัดการส่งหินและทรายให้โจทก์ตลอดมาตั้งแต่ปลายปี 2520จนถึงต้นปี 2522 รวมราคาประมาณ 390,000 บาท เป็นการชำระค่าที่ดินและบ้านเรือนแถวตามที่ตกลงซื้อขายกันครบถ้วน โจทก์จึงยินยอมให้จำเลยเข้าอยู่ในบ้านเรือนแถวห้องที่ 5 (หรือเลขที่ 8) ตั้งแต่ปี2522 เป็นต้นมาจนปัจจุบัน สำหรับการจดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมบ้านเรือนแถวให้จำเลย โจทก์ได้ผัดผ่อนเรื่อยมา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยจึงขอฟ้องแย้งโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ให้โจทก์จัดการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 95962 แขวงสามเสนใน เขตพญาไทกรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยเข้าไปอยู่ในบ้านของโจทก์ โจทก์ไม่ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมบ้านพิพาทกับจำเลย ไม่ได้รับหินและทรายจากจำเลย การก่อสร้างต่าง ๆโจทก์จ้างผู้อื่นสร้างให้ ทั้งโจทก์ไม่เคยตกลงหรือสัญญาจะจดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมบ้านให้แก่จำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 95962 ตำบลสามเสนใน (บางซื่อฝั่งใต้) อำเภอพญาไท(บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร พร้อมบ้านเลขที่ 8 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่า โจทก์เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดมีนางสาวสุขุมาลย์ พรสุรไกร เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการนายโดเกี๊ยด แซ่โหง่ว เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.7 ห้างโจทก์ทำการก่อสร้างบ้านเรือนแถว (ทาวน์เฮ้าส์)3 ชั้นขายพร้อมที่ดินที่ถนนประดิพัทธ์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไทกรุงเทพมหานคร โจทก์จดทะเบียนเลิกห้างแล้วมีนายบัญญัติ อุชชิน เป็นผู้ชำระบัญชีตามภาพถ่ายหนังสือรับรองเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ห้างโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ บ้านเลขที่ 8 ซอยสันติเสวี ถนนประดิพัทธ์ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 95962 ตำบลสามเสนใน (บางซื่อฝั่งใต้) อำเภอพญาไท (บางซื่อ)กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้ปลูกบ้านหลังดังกล่าวติดจำนองบริษัทบางกอกโนมูระอินเตอร์เนทชั่นแนลซิเคียวริตี้ จำกัด ตามภาพถ่ายโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.3 จำเลยเข้าไปอยู่อาศัยในบ้านและที่ดินโฉนดดังกล่าวตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคม 2522 จนถึงปัจจุบัน คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า จำเลยซื้อบ้านและที่ดินพิพาทดังกล่าวจากโจทก์และชำระราคาให้โจทก์ครบถ้วนแล้วหรือไม่ จำเลยมีนายสุไลมานมิตรอำพัน และนางสาวนฤมล แซ่อุง เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยขายหินทรายให้ห้างโจทก์ทำการก่อสร้างบ้านเรือนแถวขายพร้อมที่ดินต่อมานางสาวสุขุมาลย์หุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์เสนอให้จำเลยซื้อบ้าน 1 หลัง พร้อมที่ดินในราคา 380,000 บาท โดยจำเลยชำระราคาเป็นหิน ทรายให้ห้างโจทก์ จำเลยส่งหิน ทรายชำระค่าบ้านและที่ดินพิพาทให้โจทก์ตั้งแต่เดือนกันยายน 2520 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2522 ครบถ้วนแล้ว เห็นว่า จำเลยประกอบอาชีพค้าขายหิน ทราย และรับจ้างถมดินรู้จักนางสาวสุขุมาลย์หุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์และนายโดเกี๊ยดหุ้นส่วนคนหนึ่งของห้างโจทก์มาก่อนเป็นเวลานาน ซึ่งนายโดเกี๊ยดมีหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างเรือนแถว จำเลยติดต่อขายหินทรายให้นางสาวสุขุมาลย์หลายครั้งตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2520 เป็นต้นมาต่อมาประมาณเดือนตุลาคม 2520 จำเลยไปเก็บเงินค่าสินค้าดังกล่าวนางสาวสุขุมาลย์จึงเสนอขายบ้านและที่ดินพิพาทให้จำเลย เมื่อจำเลยได้ปรึกษากับนางสาวนฤมลพี่สาวและญาติพี่น้องแล้วก็ตกลงซื้อ ในการชำระราคามีข้อตกลงกันว่าให้จำเลยชำระด้วยการส่งหินทรายให้โจทก์หลังจากนั้นปรากฏว่าจำเลยได้ส่งหินทรายให้โจทก์ตั้งแต่เดือนกันยายน2520 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2522 โดยจำเลยจะออกใบส่งของชั่วคราวให้คนขับรถของจำเลยนำไปให้นายสุไลมานหรือคนงานอื่นของห้างโจทก์ลงชื่อรับของไว้ เช่นตามเอกสารหมาย ล.2 ซึ่งระบุว่าส่งให้โกกิ๊ตประดิพัทธ์ อันหมายถึงนายโดเกี๊ยด แซ่โหง่ว หุ้นส่วนของห้างโจทก์นายสุไลมานเคยเป็นลูกจ้างห้างโจทก์ในช่วงระยะเวลาปลายปี พ.ศ. 2520ถึงกลางปี พ.ศ. 2522 มีหน้าที่ควบคุมงานและรับมอบหินทรายในการก่อสร้างเรือนแถวซึ่งนายสุไลมานก็ได้มาเบิกความรับรองเอกสารดังกล่าว ในการส่งหินทรายให้โจทก์ จำเลยได้จัดทำบันทึกไว้ในบัญชี2 เล่ม เล่มแรกเป็นการส่งหินทราย ตั้งแต่เดือนกันยายน 2520 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2520 คิดเป็นเงินประมาณ 10,000 บาท แต่สมุดบันทึกนั้นได้สูญหายไป คงเหลือแต่เล่มที่ 2 ซึ่งเป็นการส่งหินทรายตั้งแต่เดือนธันวาคม 2520 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2522 ปรากฏรายละเอียดในสมุดบันทึกเอกสารหมาย ล.5 รายการหน้า 3, 14, 19, 20, 45 ถึง 49, 80,90 และหน้า 100 คิดเป็นเงินประมาณ 310,000 บาท หลังจากโจทก์ทำการก่อสร้างบ้านพิพาทเสร็จในเดือนมกราคม 2522 จำเลยก็เข้าไปอยู่อาศัยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยไม่ปรากฏว่าฝ่ายโจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านว่าจำเลยเข้าไปอยู่โดยมิชอบแต่อย่างใด นอกจากนี้จำเลยยังได้ชำระค่าโทรศัพท์ น้ำประปา และไฟฟ้ามาโดยตลอด ตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ล.6, ล.7, ล.8 ทั้งในเรื่องโทรศัพท์นางสาวสุขุมาลย์ หุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์ได้ลงลายมือชื่อไว้ในแบบฟอร์มคำร้องขอโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยไว้ด้วยตามเอกสารหมาย ล.4โจทก์มีแต่นายบัญญัติ อุชชินผู้ชำระบัญชีของห้างโจทก์เป็นพยานเบิกความลอย ๆ ว่าตรวจสอบบรรดาเอกสารแล้วไม่มีสัญญาจะซื้อขายบ้านและที่ดินพิพาทกับจำเลย ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ ศาลฎีกาเห็นว่าคำพยานจำเลยมีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานโจทก์ เชื่อว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อบ้านและที่ดินพิพาทจากโจทก์ โดยการส่งหินทรายให้โจทก์เป็นการชำระราคาครบถ้วนแล้ว กรณีถือว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามสัญญาจะซื้อขายบ้านและที่ดินพิพาทนั้นให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยจึงหาจำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ ฝ่ายต้องรับผิดจึงจะฟ้องบังคับคดีโจทก์ได้ดังโจทก์ฎีกาแต่ประการใดไม่ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้…”
พิพากษายืน.

Share