คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3496/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57(1) อ้างว่า ผู้ร้องสอดถูกเจ้าหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งผู้ร้องสอดเป็นผู้รับอาวัลฟ้องให้รับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินร่วมกับจำเลย ดังนี้ ผู้ร้องสอดยังไม่ได้มีสิทธิเรียกร้องใดเหนือทรัพย์สินที่จำเลยต้องโอนให้โจทก์ตามคำพิพากษา จึงหาใช่เป็นกรณีที่ผู้ร้องสอดมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องสอด.

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องจากโจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยตกลงจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) อ้างว่าผู้ร้องสอดมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาในคดีนี้ เนื่องจากผู้ร้องสอดได้เข้ารับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งจำเลยออกให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไทยรุ่งเรืองทรัสต์ จำกัจำนวน 10,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย เมื่อเดือนพฤศจิกายน2526 และต่อมาบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไทยรุ่งเรืองทรัสต์ จำกัดได้ฟ้องจำเลยกับผู้ร้องสอดให้ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย ผู้ร้องสอดซึ่งเป็นผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว มีความผูกพันตามกฎหมายต้องชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว จึงมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลย และมีสิทธิเรียกร้องบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยตามฟ้องได้นอกจากนี้แล้วโจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องโดยคบคิดกันฉ้อฉล มิได้ซื้อขายกันจริง โจทก์และจำเลยเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน กรรมการบางคนของโจทก์และจำเลยเป็นญาติกัน โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องโดยไม่สุจริตเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ผู้ร้องสอดบังคับเอาแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น ขอให้ระงับหรือห้ามมิให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องให้โจทก์ และงดการบังคับคดีนี้ไว้จนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ดังกล่าวให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไทยรุ่งเรืองทรัสต์ จำกัด ครบถ้วน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำร้องสอดของผู้ร้องสอด ให้รับคำร้องสอดของผู้ร้องสอดไว้พิจารณาต่อไป
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานผู้ร้องและโจทก์จำเลย และมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องสอด
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องสอดมีสิทธิร้องสอดเข้ามาในคดีนี้หลังจากที่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอมให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้วหรือไม่เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว ผู้ร้องสอดจะยื่นคำร้องสอดได้ต่อเมื่อผู้ร้องสอดมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษานั้น แต่ตามคำร้องของผู้ร้องสอดผู้ร้องสอดเพียงถูกเจ้าหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งผู้ร้องสอดเป็นผู้รับอาวัลฟ้องให้รับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินร่วมกับจำเลยผู้ร้องสอดยังมิได้มีสิทธิเรียกร้องใดเหนือทรัพย์สินที่จำเลยต้องโอนให้โจทก์ตามคำพิพากษา กรณีตามคำร้องของผู้ร้องสอดหาใช่เป็นกรณีที่ผู้ร้องสอดมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ด้วยการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)
พิพากษายืน.

Share