แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาฉ้อโกงเงิน 100,000 บาท เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยจำเลยได้ยกเครื่องถ่ายเอกสารตีใช้หนี้ให้ผู้เสียหายเป็นเงิน 50,000บาท ต่อมาจำเลยไม่ชำระเงินที่เหลือและผิดสัญญาประกันชั้นสอบสวนผู้เสียหายจึงนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยมาพบพนักงานสอบสวนพนักงานสอบสวนให้ผู้เสียหายกับจำเลยเจรจากัน จำเลยได้ชำระเงินให้ผู้เสียหายเป็นเงิน 9,000 บาท และเจ้าพนักงานตำรวจคุมตัวจำเลยไปพบ ช.เพื่อนของจำเลยโดยมีผู้เสียหายไปด้วยช.ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน 40,000 บาทให้แก่ผู้เสียหายแล้วเจ้าพนักงานตำรวจก็ปล่อยตัวจำเลยไปโดยผู้เสียหายไม่คัดค้านและไม่กลับไปแจ้งผลการเจรจาตกลงกับจำเลยให้พนักงานสอบสวนทราบ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า ผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาฉ้อโกงตามที่แจ้งความไว้อีกต่อไป เป็นการยอมความกันในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็มีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ให้จำคุก 4 เดือน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนาฉ้อโกงผู้เสียหาย พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังข้อนำสืบของจำเลยว่า เมื่อจำเลยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมครั้งแรกในเดือนเมษายน2527 นั้น จำเลยได้ยกเครื่องถ่ายเอกสารตีใช้หนี้ให้ผู้เสียหายไป50,000 บาท ต่อมาจำเลยไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือ ผู้เสียหายจึงนำจ่าสิบตำรวจกวีไปจับกุมจำเลยมาพบร้อยตำรวจเอกสมศักดิ์พนักงานสอบสวน เมื่อร้อยตำรวจเอกสมศักดิ์ให้จำเลยกับผู้เสียหายเจรจากัน จำเลยได้ชำระเงินให้ผู้เสียหาย 9,000 บาท แล้วจ่าสิบตำรวจกวีคุมตัวจำเลยไปพบนายชาญรัตน์ เพื่อนของจำเลยที่ซอยหมอเหล็งโดยมีผู้เสียหายไปด้วย เมื่อนายชาญรัตน์สั่งจ่ายเช็คจำนวนเงิน40,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหายดังที่ผู้เสียหายเบิกความข้างต้นแล้ว จ่าสิบตำรวจกวีก็ปล่อยตัวจำเลยไป ซึ่งความข้อนี้ร้อยตำรวจเอกสมศักดิ์ก็เบิกความรับรองว่า เมื่อผู้เสียหายกับจำเลยไปเจรจากันแล้ว ก็ไม่ได้กลับมาบอกพยานว่าตกลงกันอย่างไร ดังนั้นเมื่อผู้เสียหายได้รับเช็คจากนายชาญรัตน์เพื่อนของจำเลย แล้วจ่าสิบตำรวจกวีได้ปล่อยตัวจำเลยไปโดยผู้เสียหายไม่คัดค้านทั้งไม่กลับไปแจ้งผลการเจรจาตกลงกับจำเลยให้ร้อยตำรวจเอกสมศักดิ์ทราบ แสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีกับจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงตามที่แจ้งความไว้อีกต่อไป อันเป็นการยอมความกันในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็มีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป และผูกพันพนักงานอัยการโจทก์ ที่โจทก์นำสืบว่า เช็คที่นายชาญรัตน์เป็นผู้สั่งจ่าย ผู้เสียหายรับเงินไม่ได้ เนื่องจากธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินนั้นก็ไม่ปรากฏว่าเหตุดังกล่าวเป็นเงื่อนไขในการตกลงยอมความ โจทก์จึงไม่มีสิทธิรื้อฟื้นคดีซึ่งยุติไปแล้วมาฟ้องจำเลยอีก เพราะสิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ได้ระงับไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่ ไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน”