แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยักยอกเงินที่ได้จากการจำหน่ายตราไปรษณียากรซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยไป แต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยได้จำหน่ายตราไปรษณียากรดังกล่าวไปแล้วยักยอกเอาเงินที่จำหน่ายไปเป็นของจำเลย จำเลยอาจยักยอกเอาตราไปรษณียากรไปเพื่อจำหน่ายในภายหลังก็ได้ จึงลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงส่วนนี้ไม่ได้ และจำเลยไม่ต้องใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่ผู้เสียหาย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานการสื่อสารแห่งประเทศไทยได้ยักยอกเงินที่ได้รับจากประชาชนมาใช้บริการ และได้จากการจำหน่ายตราไปรษณียากรซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบดูแลเก็บรักษาของจำเลยไปขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓, ๔, ๑๑ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑, ๑๔๗, ๑๕๗, ๓๕๒ และให้จำเลยคืนเงิน ๒๓๔,๓๖๗.๘๘ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา ๑๔๗, ๑๕๗ รวม๒ กระทง ลงโทษตามมาตรา ๑๔๗ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกกระทงละ ๑๐ ปีรวมจำคุก ๒๐ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก ๑๕ ปี ให้จำเลยคืนเงิน๒๓๔,๓๖๔.๘๘ บาท แก่ผู้เสียหาย ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ จำคุก ๑๐ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่คงจำคุก ๗ ปี ๖ เดือน ให้จำเลยคืนเงิน ๑๒๖,๖๑๔.๓๘ บาทแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย ๒ กระทง กับให้จำเลยคืนเงิน๒๓๔,๓๖๗.๘๘ บาท
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดกระทงเดียวสำหรับตราไปรษณียากรจำนวน ๗,๗๕๓.๕๐ บาทนั้น โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยได้จำหน่ายไปแล้วเบียดบังยักยอกเอาเงินที่จำหน่ายไปเป็นของจำเลยดังที่โจทก์ฟ้องและฎีกา จำเลยอาจยักยอกเอาตราไปรษณียากรไปเพื่อจำหน่ายในภายหลังดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาก็ได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงส่วนนี้ไม่ได้ และจำเลยไม่ต้องใช้เงินจำนวนนี้คืนแก่ผู้เสียหาย จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษายืน.