คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5773/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยในคดีนี้เคยฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรีซึ่งโจทก์ในคดีนี้ได้ให้การและฟ้องแย้งในคดีดังกล่าวแต่ศาลแพ่งธนบุรีเห็นว่าฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมจึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งโจทก์อุทธรณ์ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ได้มาฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อคำฟ้องคดีนี้กับฟ้องแย้งในคดีก่อนเป็นเรื่องเดียวกันและฟ้องแย้งในคดีก่อนอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์คำฟ้องในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับฟ้องแย้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173วรรคสองแม้ว่าศาลในคดีก่อนจะยังไม่ได้มีคำสั่งรับฟ้องแย้งก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยการซื้อขายดังกล่าวไม่มีการชำระเงินกันและเป็นนิติกรรมอำพรางการที่โจทก์โอนที่ดินให้จำเลยก็เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ซึ่งโจทก์ได้กู้ยืมมาจากจำเลยจำนวน 2,000,000 บาท โจทก์และจำเลยตกลงกันว่า หากโจทก์ไม่ประสงค์จะกู้เงินแล้ว จำเลยจะโอนที่ดินคืนให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ได้เสนอจะชำระเงินจำนวน 2,000,000 บาทให้แก่จำเลยพร้อมทั้งขอให้จำเลยโอนที่ดินคืนให้แก่โจทก์ จำเลยไม่ยินยอม ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลย และให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินคืนให้แก่โจทก์โดยโจทก์พร้อมที่จะชำระเงินจำนวน 2,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่เดือนกันยายน 2536เป็นต้นไปให้แก่จำเลย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่เคยกู้เงินจากจำเลยจำนวน 2,000,000 บาท โจทก์ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลยราคา 4,000,000 บาท โดยโจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปครบถ้วนแล้ว สัญญาซื้อขายไม่ใช่นิติกรรมอำพราง จำเลยในคดีนี้เคยฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรีในเรื่องเดียวกันนี้ ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า เดิมจำเลยในคดีนี้เคยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรี ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 3819/2536 คดีหมายเลขแดงที่ 638/2537 ระหว่าง นางเนาวรัตน์ จึงสุจริตใจหรือพินิจศักดิ์กุลโจทก์ นายชัยโรจน์ พิบูลย์เจริญสิทธิ์ จำเลย ศาลแพ่งธนบุรีมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2537 ให้โจทก์และบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาท โจทก์อุทธรณ์ ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม2537 ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2538 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลแพ่งธนบุรี
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย และวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 638/2537 ของศาลแพ่งธนบุรีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เดิมจำเลยในคดีนี้เคยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรีเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 3819/2536 คดีหมายเลขแดงที่ 638/2537อ้างว่า จำเลยซื้อบ้านและที่ดินพิพาทจากโจทก์ โจทก์ขออาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาท ต่อมาจำเลยไม่ประสงค์ให้อาศัยอีกแจ้งให้ออกโจทก์เพิกเฉยขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย โจทก์ได้ให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมอำพรางโจทก์โอนบ้านและที่ดินพิพาทให้จำเลยเพื่อเป็นการประกันหนี้เงินกู้ในวงเงิน 2,000,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ ศาลแพ่งธนบุรีเห็นว่า ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม มีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง และพิพากษาให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาท โจทก์อุทธรณ์ ขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งโจทก์ฎีกา คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 638/2537 ของศาลแพ่งธนบุรีหรือไม่โจทก์ฎีกาอ้างว่าศาลแพ่งธนบุรีสั่งไม่รับฟ้องแย้งของโจทก์เพราะเป็นฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมโจทก์จึงนำคดีมาฟ้องใหม่เป็นคดีนี้ แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนและโจทก์ฎีกาคำสั่งของศาลแพ่งธนบุรีและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่ศาลฎีกายังไม่มีคำสั่งอนุญาตให้รับฟ้องแย้งของโจทก์ การฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงไม่เป็นการฟ้องซ้อนหรือฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง บัญญัติว่า”นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้วคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาและผลแห่งการนี้ (1) ห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น” คดีนี้กับคดีฟ้องแย้งเป็นเรื่องเดียวกัน แม้ศาลแพ่งธนบุรีจะมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง ก็ถือได้ว่า จำเลยในคดีดังกล่าวมีฐานะเป็นโจทก์ฟ้องแย้งนับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแย้งแล้วและคดีฟ้องแย้งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์จะนำคดีเรื่องเดียวกันมาฟ้องจำเลยคนเดียวกันอีกไม่ได้ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับฟ้องแย้ง ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามและพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share