คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1215/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อการประมูลโอนขายสิทธิการเช่าที่โจทก์ประมูลได้เป็นไปโดยถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ทราบถึงเงื่อนไขการเช่าโจทก์ก็ไม่มีสิทธิบอกล้างได้ เมื่อจำเลยพร้อมที่จะทำสัญญาโอนสิทธิตามสัญญาให้โจทก์ได้ แต่โจทก์หาได้ไปติดต่อทำสัญญาและวางเงินค่าประมูลที่ยังค้างอีกตามที่ตกลงไว้ไม่ โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
เมื่อราคาค่าประมูลที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของ จ. เรียกร้องเป็นค่าตอบแทนที่โจทก์จะได้รับโอนสิทธิการเช่าห้องทั้ง 11 ห้อง แต่เมื่อไม่มีทางจะโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้เพราะได้พ้นกำหนดสัญญาเดิมของ จ. ผู้เช่าจากจำเลยที่ 3 เสียแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ไม่มีสิทธิจะได้รับค่าตอบแทนเพราะราคาค่าประมูลนั้นเป็นค่าตอบแทนสิทธิที่โจทก์จะได้รับโอนสิทธิการเช่า เพราะข้อตกลงในรายงานการประชุมเจ้าหนี้ระบุไว้แต่เพียงว่าถ้าไม่ชำระอีก 75 เปอร์เซนต์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิริบเงิน 25 เปอร์เซนต์ที่ชำระไว้แล้วเท่านั้น ไม่มีเงื่อนไขให้อำนาจที่จะเรียกร้องเอาชำระราคาจนเต็มได้
จำนวนเงิน 25 เปอร์เซนต์ที่โจทก์วางแก่จำเลยในวันประมูลขายนั้น ในรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้ระบุว่าเป็นเงินมัดจำ เพียงแต่กล่าวว่า “การชำระเงิน ผู้ซื้อจะชำระในวันนี้ 25 เปอร์เซนต์ ส่วนอีก 75 เปอร์เซนต์จะชำระภายในวันที่ 3 เดือนนี้หากผิดนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิริบเงิน 25 เปอร์เซนต์ได้” ข้อความดังกล่าวนี้แสดงว่าเป็นการชำระหนี้ส่วนหนึ่งของราคาค่าซื้อ ไม่ใช่มัดจำ จำเลยริบไม่ได้ จะว่าเป็นเบี้ยปรับที่ชำระแล้วก็ไม่ได้ เพราะในขณะที่โจทก์ชำระเงินนั้น ยังไม่มีการผิดนัด จึงเป็นการชำระเบี้ยปรับในขณะที่ยังไม่ผิดสัญญาไม่ได้อยู่เอง
เมื่อปรากฏว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา หากจำเลยได้รับความเสียหาย ก็ชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ใช้สิทธิเรียกร้องมาแต่ต้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะริบเงินที่โจทก์วางไว้เป็นการชำระหนี้ส่วนหนึ่งของราคาที่ชำระให้จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ ได้ทำสัญญาให้นายจิตร กิจพานิช เช่าที่ดินปลูกสร้างอาคาร มีข้อตกลงให้นายจิตรมีสิทธิอยู่อาศัยหรือให้ผู้อื่นเช่าช่วงต่อไปได้ นายจิตรถูกบริษัทธนาคารแห่งเอเชียเพื่อการอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมจำกัด ฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลแพ่งมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายจิตร จำเลยที่ ๑, ๓ ร่วมมือจัดให้มีการขายสิทธิการเช่าทรัพย์สินของนายจิตรลูกหนี้ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ ๓ ได้มีผู้เสนอขอซื้อสิทธิการเช่าตามคำชักชวนของจำเลยที่ ๑ หลายราย รวมทั้งโจทก์ จำเลยที่ ๑ ตรวจคำร้องที่มีผู้เสนอราคาซื้อไม่เป็นที่พอใจจึงประกาศว่าจะทำการขายสิทธิการเช่า โดยวิธีประมูลสู้ราคากันด้วยปากเปล่า จำเลยที่ ๑ ทำการประมูลด้วยตนเอง โจทก์เชื่อว่าจำเลยที่ ๑ มีอำนาจและหน้าที่ขายทรัพย์ และปฏิบัติการให้เป็นไปตามประกาศและหวังประโยชน์ที่จะได้รับกำไรจึงเข้าสู้ราคาประมูลด้วยปากเปล่าอีก โจทก์ประมูลได้ ๑๑ ห้อง คิดเป็นเงินรวมกัน ๑๙๙,๔๐๐ บาท โจทก์ชำระเงิน ๔๐,๓๕๐ บาท เป็นเช็คจ่ายเงินสด ๕,๐๐๐ บาท ส่วนที่ค้างจะชำระกันในวันโอน วันรุ่งขึ้นมีผู้มาขอซื้อสิทธิการเช่าจากโจทก์ ๒ ราย โจทก์ขายให้ไปคนละ ๔ ห้อง ๆ ละ ๔๐,๐๐๐ บาท จะได้กำไรห้องละ ๒๒,๐๐๐ บาท รวม ๘ ห้อง ได้กำไร ๑๗๖,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ ๓ ห้องถ้าขายจะได้กำไรอีกเป็นเงิน ๖๖,๐๐๐ บาท
ต่อมาโจทก์ไปติดต่อทำสัญญาเช่ากับจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ปฏิเสธไม่ยอมรับรู้การซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ อ้างว่าจะทำสัญญาให้ผู้เช่าเดิมเช่าตรงต่อไปกับจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๓ กลับมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าเดิมระหว่างนายจิตรกับจำเลยที่ ๓ โจทก์ขอรับเงินที่ได้ชำระราคาซื้อส่วนหนึ่งไว้ต่อจำเลยที่ ๑ นั้นคืน เป็นอันเลิกสัญญาซื้อขายสิทธิการเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมคืนเงินและเลิกสัญญา กลับยืนยันว่าจำเลยที่ ๑ สามารถจัดให้โจทก์เข้าทำสัญญาเช่ากับจำเลยที่ ๓ ได้ จำเลยที่ ๑ เพิกเฉยไม่ขวนขวายจัดให้โจทก์ได้เข้าทำสัญญาเช่ากับจำเลยที่ ๓ ตามที่ยืนยัน เป็นการละเว้นการอันมิควรเว้นอันเกิดด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้โจทก์เสียสิทธิไม่ได้เข้าทำสัญญาเช่ากับจำเลยที่ ๓ และริบเงินราคาซื้อส่วนหนึ่งของโจทก์ที่วางชำระไว้เป็นเงิน ๔๕,๓๕๐ บาทนั้นเสียอีก จำเลยกลับเร่งรัดให้โจทก์นำเงินราคาซื้อสิทธิการเช่าอีกบางส่วนมาส่งมอบให้แก่จำเลยที่ ๑ อีกจนครบ ๑๙๙,๔๐๐ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิและอำนาจหรือหน้าที่ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายไปเป็นเงิน ๔๕,๓๕๐ บาท จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวร่วมด้วย
ส่วนจำเลยที่ ๓ ได้ยินยอมตกลงให้จำเลยที่ ๑ ทำการขายสิทธิการเช่า เมื่อจำเลยที่ ๓ ไม่ยอมทำสัญญาให้โจทก์ จำเลยที่ ๓ มีส่วนในการทำความเสียหาย จึงต้องรับผิดร่วมด้วย
ขอให้บังคับให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ทำสัญญาให้โจทก์ได้รับเช่าตึกแถวดังกล่าว มีกำหนดเวลาเช่า ๑ ปี นับแต่วันทำสัญญาเช่าโดยโจทก์ยอมเสียเงินค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยที่ ๓ ถ้าไม่อาจให้โจทก์ทำสัญญาเช่า ก็ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินราคาบางส่วนที่จำเลยที่ ๑ รับไว้จากโจทก์ในการซื้อสิทธิการเช่าเป็นเงิน ๔๐,๓๕๐ บาท กับเช็คที่โจทก์อายัดจำนวนเงิน ๕,๐๐๐ บาทให้แก่โจทก์ พร้อมทั้งค่าเสียหายอีก ๒๔๒,๐๐๐ บาท และให้เสียดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๑ ในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายจิตร มิได้กระทำการอันเป็นการละเมิด
นายจิตรได้เช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สิน ฯ เพื่อก่อสร้างโรงภาพยนตร์และตึกแถวให้เช่าหาประโยชน์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จำเป็นต้องเข้าดำเนินการรวบรวมไว้ในกองทรัพย์สินของนายจิตร จำเลยที่ ๑ ตกลงกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายจิตรยอมให้โอนสิทธิการเช่าได้โดยมีเงื่อนไข มีผู้แสดงความจำนงขอซื้อหลายรายรวมทั้งโจทก์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แจ้งให้โจทก์และบรรดาผู้ซื้อทราบเงื่อนไขของจำเลยที่ ๓ โดยละเอียดแล้ว โจทก์และผู้ซื้อบางคนมุ่งมั่นที่จะซื้อให้ได้โดยตั้งใจเสี่ยงภัยในปัญหาภายหน้าเอาเอง โจทก์ซื้อได้ ๑๑ ห้อง โจทก์ชำระเงิน ๔๕,๓๕๐ บาท โดยชำระเป็นเงินสด ๔๐,๒๕๐ บาท โดยเช็ค ๕,๐๐๐ บาท ขาดไป ๔,๕๐๐ บาท จำนวนที่ขาดและอีก ๗๕ เปอร์เซนต์ รวมเป็นเงิน ๑๕๔,๐๕๐ บาท จะต้องชำระให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๐๓ ตามข้อตกลงโจทก์กลับผลัดผ่อนขอชำระวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๐๓ ซึ่งโจทก์ก็ไม่ชำระ โจทก์บิดพลิ้ว ได้ขอคืนเงิน ๒๕ เปอร์เซนต์ แต่ไม่อาจคืนได้ เพราะโจทก์ผิดสัญญา จำเลยที่ ๓ ยืนยันที่จะทำสัญญาให้กับโจทก์ตามเงื่อนไขเดิม แต่โจทก์ไม่สมัครใจเพราะต้องการจะให้จำเลยที่ ๓ ต่อสัญญาให้อีก ๑ ปี อันเป็นการนอกเหนือข้อตกลง จำเลยที่ ๑ ว่ามิได้ขอผัดเพี้ยนที่จะพิจารณาคืนเงินไม่มีหน้าที่ต้องคืนเงินและเช็คที่โจทก์อายัด โจทก์มิได้ขายสิทธิการเช่าให้บุคคลภายนอก ถึงโจทก์จะขายสิทธิการเช่าไปทั้ง ๑๑ ห้อง จนได้กำไรถึง ๒๔๒,๐๐๐ บาท ก็เป็นเรื่องเสี่ยงขายไปเอง
จึงฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระเงิน ๑๕๙,๐๕๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๒ ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ ๑ และว่าโจทก์ขาดอายุความและเป็นฟ้องซ้ำกับคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๖๙๙/๒๕๐๔ ที่โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ ๒ ให้รับผิดเป็นส่วนตัว แต่ศาลแพ่งให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ ๒ และว่ายอมให้จำเลยที่ ๑ เข้าจัดการทรัพย์สินของนายจิตร
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า คดีไม่ขาดอายุความ แม้สัญญาเช่าที่ดินระหว่างนายจิตรจะครบกำหนด ๑๐ ปีลง ก็ไม่เป็นเหตุให้นายจิตรหมดสิทธิการเช่าทรัพย์พิพาท การที่จำเลยที่ ๑ ในฐานะเจ้าพนักงานบังคับคดีล้มละลายนำทรัพย์พิพาทของลูกหนี้ซึ่งศาลยังมิได้ให้ล้มละลายมาประมูลขายเองโดยมิได้สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกองหมายดำเนินการนั้น ไม่ชอบ โจทก์ขอปฏิเสธว่าโจทก์ไม่เคยทราบเงื่อนไขการเช่าตามที่จำเลยที่ ๑ อ้าง โจทก์ประมูลได้กลับตั้งเงื่อนไขขัดต่อกฎหมาย โจทก์ชอบที่จะยึดหน่วงราคาไว้ โจทก์มิได้ผิดนัด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ใช้เงินสดตามเช็ค ๕,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๐๓ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันคืนเงินราคาบางส่วนที่จำเลยที่ ๑ รับไว้จากโจทก์ ๔๐,๓๕๐ บาท และให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ คืนเช็คที่จำเลยที่ ๑ ได้รับไว้จากโจทก์ จำนวนเงิน ๕,๐๐๐ บาทให้แก่โจทก์ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ ฯลฯ
แต่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีความเห็นแย้งว่า ควรพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ คืนเงิน ๒๐,๓๕๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องแก่โจทก์ นอกจากนี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ ๑ ไม่จำต้องคืนเงิน ๒๕ เปอร์เซนต์พร้อมด้วยเช็ค และโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระเงินอีก ๗๕ เปอร์เซนต์ให้จำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า การประมูลโอนขายสิทธิการเช่าที่โจทก์ประมูลได้นี้เป็นไปโดยถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ทราบถึงเงื่อนไขการเช่าว่า ถ้าบุคคลภายนอกไม่ใช่ผู้เช่าเดิมซื้อได้ จำเลยที่ ๓ จะทำสัญญาให้เช่าเพียงวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๐๔ ตามสัญญาเดิมของนายจิตรเท่านั้น และจำเลยที่ ๓ พร้อมที่จะทำสัญญาโอนสิทธิตามสัญญาของนายจิตรให้โจทก์และผู้ซื้อได้จนถึงวันดังกล่าว แต่โจทก์หาได้ไปติดต่อทำสัญญาและวางเงินค่าประมูลที่ยังค้างอีก ๗๕ เปอร์เซนต์ตามที่ตกลงกันไม่ โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่าจำเลยที่ ๑ จะขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินค่าประมูลที่ยังค้างอีก ๗๕ เปอร์เซนต์ให้จำเลยที่ ๑ ด้วยได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ราคาค่าประมูลที่จำเลยที่ ๑ เรียกร้องนี้เป็นค่าตอบแทนที่โจทก์จะได้รับโอนสิทธิการเช่าห้องทั้ง ๑๑ ห้อง แต่เมื่อบัดนี้ไม่มีทางจะโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้เพราะได้พ้นกำหนดสัญญาเช่าเดิมของนายจิตรเสียแล้ว จำเลยที่ ๑ ก็ไม่มีสิทธิจะได้รับค่าตอบแทนเพราะราคาค่าประมูลนั้นเป็นค่าตอบแทนสิทธิที่โจทก์จะได้รับโอนสิทธิการเช่า และตามข้อตกลงที่ปรากฏในรายงานการประชุมเจ้าหนี้ในการขายทอดตลาดสิทธิการเช่าก็มีข้อสัญญาระบุไว้เพียงว่า หากผู้ประมูลได้ผิดนัดไม่ชำระเงินอีก ๗๕ เปอร์เซนต์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิริบเงิน ๒๕ เปอร์เซนต์ที่ชำระในไว้แล้วได้เท่านั้น ไม่มีเงื่อนไขให้อำนาจจำเลยที่ ๑ ที่จะเรียกร้องเอาชำระราคาจนเต็มจำนวนได้ ฎีกาจำเลยที่ ๑ ที่ขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินค่าประมูลอีก ๗๕ เปอร์เซนต์ที่ค้างชำระจึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนปัญหาที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ไม่จำต้องคืนเงิน ๔๐,๓๕๐ บาทพร้อมด้วยเช็คจำนวนเงิน ๕,๐๐๐ บาทอันเป็นจำนวนเท่ากับ ๒๕ เปอร์เซนต์ของราคาค่าซื้อสิทธิการเช่าตึกที่จำเลยที่ ๑ รับชำระไว้ให้โจทก์นั้น เงินจำนวน ๒๕ เปอร์เซนต์นี้ตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้ระบุว่าเป็นเงินมัดจำ เพียงแต่กล่าวว่า”การชำระเงิน ผู้ซื้อจะชำระในวันนี้ ๒๕ เปอร์เซนต์ ส่วนอีก ๗๕ เปอร์เซนต์จะชำระภายในวันที่ ๓ เดือนนี้ หากผิดนัดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิริบเงิน ๒๕ เปอร์เซนต์ได้ข้อความดังกล่าวนี้แสดงว่าเป็นการชำระหนี้ส่วนหนึ่งของราคาค่าซื้อไม่ใช่มัดจำ จำเลยจึงริบไม่ได้ และจะว่าเป็นเบี้ยปรับที่ชำระ แล้วก็ไม่ได้ เพราะในขณะที่โจทก์ชำระเงินนั้น ยังไม่มีการผิดนัด จึงเป็นการชำระเบี้ยปรับในขณะยังไม่ผิดสัญญาไม่ได้อยู่เอง อย่างไรก็ดี เมื่อปรากฏว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา หากจำเลยที่ ๑ ได้รับความเสียหายประการใด ก็ชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากโจทก์ได้ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้ใช้สิทธิเรียกร้องในฐานนี้มาแต่ต้น ในชั้นนี้จำเลยที่ ๑ จึงไม่มีสิทธิจะริบหรือไม่คืนเงิน ๔๐,๓๕๐ บาท กับเช็คจำนวนเงิน ๕,๐๐๐ บาทที่โจทก์ชำระไว้กับจำเลยที่ ๑ ได้
พิพากษายืนในผลตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาจำเลยที่ ๑ แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่ ๑ จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่โจทก์ผิดสัญญาจากโจทก์ใหม่ ถ้าหากมีมูลให้เรียกร้องกันได้

Share