คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้ที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลย และศาลได้พิพากษาไปตามยอมแล้วคำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความทั้งสองฝ่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145. โจทก์จะมาฟ้องขอให้เพิกถอนเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้ เพราะแม้จะอุทธรณ์ฎีกาในคดีเดิมยังต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138
เมื่อที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยด้วยกันเกี่ยวกับที่ดินพิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มารดาโจทก์ได้ยกที่ดินโฉนดที่ 485 ให้โจทก์ครอบครอง แต่กลับโอนใส่ชื่อจำเลยที่ 2-3 ในโฉนด เพราะสำคัญผิดโจทก์ครอบครองมากว่า 10 ปีแล้ว จำเลยที่ 2-3 ได้เอาที่ดินแปลงนี้ไปจำนองไว้กับจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้โดยการครอบครอง และให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2-3 เสีย

จำเลยให้การว่าได้จำนองที่ดินโฉนดที่ 485 โดยสุจริต โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 2-3 เกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลได้พิพากษาตามยอมให้ที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของจำเลยที่ 2-3 ปรากฏตามคดีแพ่งแดงที่ 197/2503 และโจทก์เคยฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ศาลได้พิพากษายกฟ้องอีกปรากฏตามคดีแพ่งแดงที่ 195/2505 ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 พิพากษาให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์และจำเลยที่ 2-3 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาลว่า ที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของจำเลย ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดตามคดีแดงที่ 197/2503 ของศาลจังหวัดลพบุรีแล้วคำพิพากษานี้ย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 โจทก์จะมาฟ้องขอให้เพิกถอนเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้ เพราะแม้จะอุทธรณ์ฎีกาในคดีเดิมยังต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 เมื่อเป็นเช่นนี้โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินโฉนดที่ 485 ไม่มีอำนาจฟ้องให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2-3

พิพากษายืน

Share