คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5773/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การซื้อขายที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้นเป็นการต้องห้ามตาม พ.ร.บ. การปฏิรูปที่ดินฯมาตรา 39 จึงเป็นโมฆะกรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 113 ตาม พ.ร.บ. ปฏิรูปที่ดินฯ มาตรา 19(7) และ 37 ผู้ที่จะเข้าอยู่ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินได้ต้องได้รับการพิจารณาและอนุมัติจากคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก่อน และห้ามมิให้ยกอายุความครอบครองขึ้นต่อสู้กับสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในเรื่องที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่สำนักงานฯ ได้มา ตาม พ.ร.บ. การปฏิรูปที่ดินฯ ดังนั้น ในเขตปฏิรูปที่ดินบุคคลที่มิได้รับจัดสรรจากคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไม่มีสิทธิแย่งการครอบครองจากบุคคลที่ได้รับจัดสรรตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ในเขตปฏิรูปเกิน 1 ปี ก็ไม่ทำให้จำเลยได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปการที่จำเลยเข้าไปไถข้าวฟ่าง ที่โจทก์ปลูกไว้ย่อมเป็นการละเมิดส่วนค่าเสียหายจำเลยมิได้โต้แย้งว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดมากน้อยแต่ประการใด จำเลยจึงต้องรับผิดค่าเสียหายต่อโจทก์ตามจำนวนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินแปลงเลขที่ 17 ตำบลลาดแค อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์โดยได้รับมรดกจากนายสมบัติ ศรีรัง สามี จำเลยใช้รถไถเข้าไปไถข้าวฟ่างที่โจทก์ปลูกไว้เสียหายทั้งแปลง คิดเป็นค่าเสียหาย 4,440บาท และค่าเสียหายที่โจทก์จะได้รับจากผลผลิตข้าวฟ่างในอนาคตอีก 45,000 บาท ขอบังคับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 50,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากนายสมบัติ ศรีรังเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2523 เมื่อซื้อแล้วได้เข้าทำประโยชน์ตลอดมาทั้งได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ทุกปี จำเลยไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์เพราะจำเลยกระทำเพื่อป้องกันสิทธิครอบครองของจำเลยหากเสียหายก็ไม่เกิน 500 บาท จำเลยครอบครองติดต่อกันเกิน 1 ปีแล้วฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินแปลงเลขที่ 17 ระหว่าง ส.ป.ก. ที่ 8 เอ็น 3 อี ตำบลลาดแคอำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ และห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน 18,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับกันว่าที่พิพาทเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน เดิมนายสมบัติ ศรีรัง สามีโจทก์เป็นผู้ได้รับสิทธิทำประโยชน์ในที่ดินจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนายสมบัติถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2528 โจทก์ในฐานะภรรยาได้แจ้งต่อทางสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมขอรับสิทธิในที่พิพาท สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้อนุมัติและออกบัตรประจำตัวเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินให้โจทก์แล้วปัญหาที่จะพิจารณาจึงมีว่าระหว่างโจทก์กับจำเลยใครจะมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่ากัน โจทก์อ้างว่ารับมรดกจากสามีซึ่งได้รับจัดสรรจากทางราชการ จำเลยอ้างว่าได้ซื้อจากสามีโจทก์แล้ว ตามหนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างสามีโจทก์กับจำเลยโดยมีเอกสารหมาย ล.1และบุคคลเป็นพยานหลักฐาน ซึ่งตามข้อต่อสู้ของจำเลยนั้นทำให้เกิดข้อกฎหมายขึ้นว่า การซื้อขายที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจะขัดต่อพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 หรือไม่ก่อนที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินจากสามีโจทก์และได้ครอบครองแล้วจริงหรือไม่ สมควรพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวแล้วก่อน เพราะถ้าไม่มีกฎหมายรองรับสิทธิ ข้อเท็จจริงตามที่พิจารณาได้ความก็ไม่มีประโยชน์แก่คดี พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39 บัญญัติว่าที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะทำการแบ่งแยก หรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม หรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกร ฯลฯตามบทกฎหมายนี้ เห็นได้ว่า นิติกรรมระหว่างสามีโจทก์กับจำเลย(ถ้ามี) ก็เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามกฎหมาย จึงเป็นโมฆะกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 ดังนั้นข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างจึงไม่มีผลบังคับในคดีนี้ จำเลยฎีกาต่อมาว่าโดยสัญญาซื้อขายดังกล่าว จำเลยได้เข้าครอบครองที่พิพาทแล้ว จึงได้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง ซึ่งโจทก์ต้องฟ้องร้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาโจทก์ถูกแย่งการครอบครอง นั้นตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518มาตรา 19(7) บัญญัติให้คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯลฯ ดังนี้จะเห็นได้ว่าบุคคลหรือเกษตรกรที่จะเข้ามาอยู่ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินได้ต้องได้รับการพิจารณาและอนุมัติจากคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก่อน และตามมาตรา 37 ก็ห้ามมิให้ยกอายุความครอบครองขึ้นต่อสู้กับสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในเรื่องที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้มาตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 โดยอาศัยบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า ในเขตปฏิรูปที่ดินนั้นบุคคลที่มิได้รับจัดสรรจากคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไม่มีสิทธิแย่งการครอบครองผู้ที่ได้รับจัดสรรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ได้ เพราะเมื่อผู้ได้รับจัดสรรที่ดินละทิ้งการครอบครองไป การครอบครองที่ดินก็กลับตกมาเป็นของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมใหม่ ซึ่งสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีอำนาจหน้าที่ที่จะจัดให้เกษตรกรที่เหมาะสมได้รับต่อไป และไม่ปรากฏว่าคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้พิจารณาและอนุมัติให้จำเลยได้รับสิทธิในที่ดินพิพาทประการใด ดังนั้น ตามฎีกาของจำเลยแม้จะฟังว่าจำเลยแย่งการครอบครองจากโจทก์เกิน 1 ปี แล้วก็ตาม ก็ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปขึ้นมาได้ จำเลยต้องออกจากที่พิพาทไป
ประเด็นต่อมาเรื่องค่าเสียหาย เมื่อฟังว่าจำเลยมิได้มีสิทธิครอบครอง จำเลยเข้าไถข้าวฟ่างที่โจทก์ปลูกไว้ในที่พิพาท ย่อมเป็นการละเมิด จำเลยมิได้โต้แย้งว่าจำนวนค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดมากน้อยไปแต่ประการใด คงต่อสู้อย่างเดียวว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิด ดังนั้นเมื่อฟังว่าจำเลยละเมิดจำเลยก็ต้องรับผิดชอบตามจำนวนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยไว้”
พิพากษายืน.

Share