คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6323/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินของตน ได้ชี้แนวเขตที่ดินด้านที่ติดต่อกับที่ดินของจำเลยตามหลักเขตที่จำเลยนำชี้ไว้เดิม จำเลยลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ว่าถูกต้อง เชื่อได้ว่าจำเลยยอมรับมาแต่แรกว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ดังนั้น แม้จะฟังตามที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อน ก็ถือว่าจำเลยสละเจตนาครอบครองแล้ว การครอบครองที่มีมาก่อนย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 การครอบครองของจำเลยซึ่งเริ่มใหม่หลังจากวันที่จำเลยรับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ถึงวันฟ้องยังไม่ครบ 10 ปี จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3938 อยู่ติดที่ดินของจำเลย จำเลยปลูกบ้านล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โจทก์แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมและชำระค่าใช้ที่ดิน จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินพิพาท และชำระค่าใช้ที่ดินเดือนละ 3,000 บาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า มารดาจำเลยสร้างบ้านขึ้นมา โจทก์ทราบและยินยอมให้สร้างได้ จำเลยและมารดาจำเลยได้ครอบครองอาศัยอยู่ในบ้านเป็นเวลานานเกินกว่า 17 ปี โดยความสงบ เปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์และมารดาโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้าน จำเลยไม่ได้ปลูกบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์ โจทก์เป็นฝ่ายขอออกโฉนดที่ดินรุกล้ำที่ดินของจำเลย จึงเป็นโฉนดที่ดินที่ไม่ชอบ ขอให้ยกฟ้อง กับพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ให้เจ้าพนักงานที่ดินเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 3938 เฉพาะส่วนที่ดินพิพาทใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของแทน
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยขอออกโฉนดที่ดินของจำเลยก่อนขณะรังวัดโจทก์จำเลยร่วมกันชี้แนวเขตที่ดิน เจ้าพนักงานได้ปักหลักเขตไว้ถูกต้อง ขณะนั้นบ้านของโจทก์และบ้านของจำเลยต่างสร้างเสร็จแล้วโดยใช้ฝาผนังร่วมกัน และบ้านของจำเลยล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ เมื่อโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินภายหลังโจทก์นำชี้แนวเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยตามหลักเขตเดิม จำเลยยอมรับว่าถูกต้องและลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้อง จำเลยไม่มีสิทธิขอให้แก้ไขโฉนดที่ดินของโจทก์ จำเลยและมารดาจำเลยไม่เคยครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาท ประกอบกับโฉนดที่ดินของโจทก์ออกเมื่อ ปี 2527 จำเลยจะอ้างการได้มาแห่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินที่ได้ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ตามโฉนดเลขที่ 3938 ให้จำเลยใช้ค่าที่ดินแก่โจทก์เดือนละ 500บาท นับแต่เดือนกรกฎาคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าโรงเรือนส่วนที่รุกล้ำสลายไปทั้งหมดหรือเลิกใช้ที่ดินของโจทก์ ให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าบ้านของจำเลยได้ปลูกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ส่วนปัญหาว่าที่ดินพิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า จำเลยเป็นฝ่ายขอออกโฉนดที่ดินของตนเองก่อน เมื่อปี 2523 จำเลยนำชี้แนวเขตที่ดินเจ้าพนักงานรังวัดได้ปักหลักเขตที่ดินแบ่งแนวเขตที่ดินของโจทก์และจำเลย ในปี 2527 โจทก์ได้ขอออกโฉนดที่ดินของตน ได้ชี้แนวเขตที่ดินด้านที่ติดต่อกับที่ดินของจำเลยตามหลักเขตที่ดินที่จำเลยนำชี้ไว้เดิม จำเลยก็ลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ว่าถูกต้อง เชื่อได้ว่าจำเลยได้ยอมรับมาตั้งแต่แรกว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ดังนั้น แม้หากจะฟังตามที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อน ก็ถือว่าจำเลยสละเจตนาครอบครองแล้วการครอบครองที่มีมาก่อนย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1377 การครอบครองของจำเลยซึ่งเริ่มใหม่หลังจากวันที่รับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ถึงวันฟ้องยังไม่ครบ 10 ปี จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์
พิพากษายืน

Share