คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5772/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ร่วมกันบังคับขู่เข็ญนำตัวผู้เสียหายกับเพื่อนจากห้องพักที่อยู่อาศัยไปยังสถานที่เกิดเหตุซึ่งเป็นสถานที่เปลี่ยวลับตาคนแล้วผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอย่างต่อเนื่องกันถึง 3 คน ในลักษณะที่ผิดปกติวิสัยจนอวัยวะเพศของผู้เสียหายมีบาดแผลตามรายงานผลการชันสูตรบาดแผลของแพทย์ ถือได้ว่าเป็นการเจตนาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคสอง
ในคดีที่ผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันถูกฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานเดียวกัน ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดบังคับให้ศาลต้องใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษผู้ร่วมกระทำความผิดแต่ละคนให้เท่ากัน ศาลอาจใช้ดุลยพินิจในการลงโทษจำเลยแต่ละคนแตกต่างกันไปได้ ขึ้นอยู่กันพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องๆ ไป เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ร้ายแรงกว่าจำเลยที่ 2 และผู้ร่วมกระทำความผิดคนอื่น ทั้งจำเลยที่ 1 มีอายุถึง 27 ปี มากกว่าจำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเพียงพอแล้ว ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกสำหรับจำเลยที่ 1 มาโดยลดโทษให้หนึ่งในสี่เพราะเห็นว่าเหตุบรรเทาโทษนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลดโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 276 บวกโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว จำเลยที่ 2 ขอถอนคำให้การเดิมเป็นให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง, 83 ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 20 ปี จำเลยที่ 2 จำคุก 15 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพหลังจากสืบพยานปากผู้เสียหายเสร็จแล้ว ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 10 ปี บวกโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้เป็นจำคุก 10 ปี 3 เดือน
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า คำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยที่ 1 ในชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 15 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาโต้แย้งว่า ขณะที่จำเลยที่ 2 กับพรรคพวกอีกคนหนึ่งข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 มิได้ร่วมกระทำความผิดด้วยในตอนนั้น กรณีจึงไม่เข้าลักษณะเป็นการโทรมหญิงนั้น เห็นว่า ตามทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่าจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ร่วมกันบังคับขู่เข็ญนำตัวผู้เสียหายกับเพื่อนจากห้องพักที่อยู่อาศัยไปยังที่เกิดเหตุซึ่งเป็นสถานที่เปลี่ยวลับตาคนแล้วผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอย่างต่อเนื่องกันถึง 3 คน ในลักษณะที่ผิดปกติวิสัยจนอวัยวะเพศของผู้เสียหายมีบาดแผลตามรายงานการชันสูตรบาดแผลของแพทย์ เอกสารหมาย จ.2 จากข้อเท็จจริงตามที่ได้ความดังกล่าวมมานี้ถือได้ว่าเป็นการเจตนาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง จำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อต่อไปว่า โทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดมานั้นชอบแล้วหรือไม่ เห็นว่า ในคดีที่ผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันถูกฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานเดียวกัน ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดบังคับให้ศาลต้องใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษผู้ร่วมกระทำความผิดแต่ละคนให้เท่ากัน ฉะนั้น ศาลอาจใช้ดุลยพินิจในการลงโทษผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันซึ่งเป็นจำเลยแต่ละคนแตกต่างกันไปได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องๆ ไป คดีนี้พฤติการณ์แห่งคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ร้ายแรงกว่าจำเลยที่ 2 และผู้ร่วมกระทำความผิดคนอื่น ทั้งจำเลยที่ 1 ก็มีอายุถึง 27 ปี มากกว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใหญ่ที่ควรมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเพียงพอแล้ว ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดโทษจำคุกสำหรับจำเลยที่ 1 มาโดยลดโทษให้หนึ่งในสี่เพราะเห็นว่ามีเหตุบรรเทาโทษนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share