คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 577/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากัน โจทก์แยกไปอยู่กับมารดาของโจทก์โดยยกทรัพย์สินและบ้านให้จำเลยทั้งหมด ปล่อยให้จำเลยอยู่ที่บ้านดังกล่าวกับบุตรตามลำพัง โจทก์มิได้เคยส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูเยี่ยงสามีภรรยาและบิดามารดากับบุตรที่ดินที่ปลูกบ้านเป็นของบุคคลอื่นซึ่งต้องการที่ดินคืน โจทก์มิได้ไปมาหาสู่จำเลย การที่จำเลยขายบ้านหลังนี้ไปโดยพลการมิได้ปรึกษาหารือโจทก์ โดยจำเลยมีเหตุจำเป็นดังกล่าว และเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้แก่จำเลยแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภรรยากันอย่างร้ายแรง โจทก์จะยกเอาเป็นข้ออ้างเป็นเหตุในการฟ้องหย่าจำเลยหาได้ไม่
โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าโจทก์ทนอยู่กับจำเลย ต่อมาจนถึงปี พ.ศ. 2511 โจทก์จึงแยกไปอยู่ที่อื่นโดยยอมยกทรัพย์สินและบ้านเรือนทั้งหมดให้จำเลย แล้วมิได้ติดต่ออยู่กินกันอีกเลย และจากนั้นโจทก์บรรยายฟ้องถึงจำเลยนำบ้านไปขายโดยพลการ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเลยว่า หลังจากแยกกันอยู่แล้วจำเลยตามไปรังควานโจทก์ ฉะนั้นการที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยไปทำลายประตูบ้านโจทก์และเอาอุจจาระไปป้ายที่นอนของโจทก์ จึงเป็นการสืบนอกฟ้อง ศาลฎีกานำมาวินิจฉัยเป็นเหตุหย่าให้โจทก์ไม่ได้
โจทก์เป็นคนชอบดื่มสุราและเจ้าชู้ การที่จำเลยรู้เรื่องราวจากภายนอกแล้วนำมาต่อว่าโจทก์เป็นครั้งคราว จริงบ้างไม่จริงบ้างแล้วทะเลาะกัน เช่นนี้โจทก์มีส่วนเป็นผู้ก่อเหตุอยู่บ้าง การที่จำเลยต่อว่าถึงเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ภรรยามีความรักสามี โจทก์อยู่ในฐานะที่จะป้องกันเหตุเหล่านี้มิให้เกิดขึ้นได้โดยการละเว้นความประพฤติดังกล่าว ก็ไม่มีเหตุที่จำเลยจะหึงหวงโจทก์ต้องทะเลาะกันดังนั้นการกระทำของจำเลยยังไม่ถึงขั้นเป็นผู้ประพฤติชั่วอันทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง หรือได้รับความดูถูกเกลียดชังหรือได้รับความเดือดร้อนจนเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสเกิดบุตรด้วยกัน ๕ คน จำเลยเป็นคนขี้หึงและปากร้าย ได้ทะเลาะด่าว่าล่วงเกินโจทก์และบิดาโจทก์เนือง ๆ เพื่อให้โจทก์ได้รับความอับอายโดยมิได้ให้เกียรติโจทก์และบิดามารดาโจทก์ ออกปากขับไล่โจทก์ตลอดมาจนถึง พ.ศ. ๒๕๑๑ โจทก์แยกไปอยู่ที่อื่นโดยยอมยกทรัพย์สินและบ้านเรือนให้จำเลยทั้งหมด แล้วมิได้ติดต่ออยู่กินกันจนบัดนี้ ภายหลังจำเลยได้ขายบ้านที่ร่วมกันปลูกในที่ดินที่เช่านั้นไป และอพยพไปอยู่ที่อื่น พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาต่อโจทก์อย่างร้ายแรง ขอให้ศาลพิพากษาให้หย่าขาดจากกัน
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ประพฤติชั่ว ไม่เคยหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์มีภรรยาใหม่ และจงใจละทิ้งร้างจำเลย โจทก์เคยฟ้องหย่าจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์จึงไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูจำเลยและบุตร ทำให้จำเลยลำบากในการดำรงชีพประกอบเจ้าของที่ดินต้องการที่ดินคืน จำเลยจึงต้องขายบ้านเพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูบุตร
ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ การที่จำเลยขายบ้านไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากัน ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยได้รังควานโจทก์ จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาของโจทก์ที่โจทก์ฎีกาว่า การขายบ้านหลังโรงพยาบาลโพธารามที่จำเลยอยู่อาศัยไปโดยพลการถือว่าจำเลยกระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีสิทธิที่หย่ากับจำเลยได้นั้นในปัญหานี้ ได้ความตามคำฟ้องของโจทก์ว่า’ โจทก์ทนอยู่กับจำเลยจนถึง พ.ศ. ๒๕๑๑ โจทก์จึงแยกไปอยู่ที่อื่น โดยยอมยกทรัพย์ทรัพย์สินและบ้านให้จำเลยทั้งหมด’ ประกอบกับตามข้อนำสืบของโจทก์และจำเลยฟังได้ว่า หลังจากโจทก์แยกไปอยู่กับมารดาของโจทก์แล้ว คงปล่อยให้จำเลยอยู่บ้านหลังโรงพยาบาลโพธารามพร้อมกับบุตรตามลำพังทั้งปรากฏว่าโจทก์มิได้เคยส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูจำเลยและบุตรเยี่ยงสามีภรรยาและบิดามารดากับบุตร นอกจากนี้ยังปรากฏอีกว่าที่ดินที่ปลูกบ้านเป็นที่ดินของคนอื่นซึ่งต้องการที่ดินคืน โจทก์มิได้ไปมาหาสู่จำเลย จำเลยได้ขายบ้านหลังนี้ไปโดยพลการมิได้ปรึกษาหารือโจทก์โดยจำเลยมีเหตุจำเป็นดังกล่าวข้างต้นและเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้แก่จำเลยแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำตนที่เป็นปฏิปักต์ต่อการที่เป็นสามีหรือภรรยากันอย่างร้ายแรง โจทก์จะยกเอาเป็นข้ออ้างเป็นเหตุในการฟ้องหย่าจำเลยหาได้ไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์นำสืบว่าหลักจากโจทก์แยกกันไปอยู่ที่อื่นแล้วจำเลยตามไปรังควานโจทก์อีกไม่เป็นการสืบนอกฟ้องนั้น ศาลฎีกาตรวจฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า โจทก์ทนอยู่กับจำเลยต่อมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๑ โจทก์จึงแยกไปอยู่ที่อื่นโดยยอมยกทรัพย์สินและบ้านเรือนทั้งหมดให้จำเลย แล้วมิได้ติดต่ออยู่กินกันอีกเลย และจากนั้นโจทก์ก็บรรยายฟ้องถึงจำเลยนำบ้านไปขายโดยพลการ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเลยว่าหลังจากแยกกันอยู่แล้วจำเลยตามไปรังควานโจทก์แต่ประการใดฉะนั้นการที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยตามไปทำลายประตูบ้านโจทก์และเอาอุจจาระไปป้ายที่นอนของโจทก์ จึงเป็นการสืบนอกฟ้อง ศาลฎีกาจึงไม่อาจนำมาวินิจฉัยว่า เป็นเหตุหย่าให้โจทก์ได้
โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่านายทวีศักดิ์ จิตรธรรมพงศ์ พยานจำเลยเองเบิกความว่า ‘จำเลยเป็นคนขี้หึงพอได้ข่าวมาก็โวยวายบางครั้งบางคราวจะจริงหรือไม่จริงก็ทะเลาะกัน’ จึงเป็นเหตุหย่าได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ยอมรับว่าโจทก์ได้พาหญิงอื่นมาอยู่ร่วมฉันสามีภรรยากับโจทก์ ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อตามที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์เป็นคนชอบดื่มสุราและเป็นคนเจ้าชู้ชอบติดพันหญิงอื่นฐานชู้สาว การที่จำเลยได้ไปรู้เรื่องราวจากภายนอกแล้วจำเลยได้นำมาต่อว่าโจทก์เป็นครั้งคราว จริงบ้างไม่จริงบ้างแล้วทะเลาะกัน เช่นนี้เห็นว่าโจทก์มีส่วนเป็นผู้ก่อเหตุอยู่บ้าง การที่จำเลยต่อว่าต่อขานถึงเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของธรรมดาที่ภรรยามีความรักต่อสามี โจทก์อยู่ในฐานะที่จะป้องกันเหตุเหล่านี้มิให้เกิดขึ้นโดยการละเว้นความประพฤติดังกล่าวข้างต้นก็ไม่มีเหตุที่จำเลยจะหึงหวงโจทก์จนต้องทะเลาะกัน ดังนั้นการกระทำของจำเลยยังไม่ถึงขั้นจำเลยเป็นผู้ประพฤติชั่วอันทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง หรือได้รับความดูถูกเกลียดชังหรือได้รับความเสียหายเดือดร้อนจนเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยได้
พิพากษายืน

Share