แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาที่ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ซึ่งเมื่อไม่เป็นความผิดตามมาตรา 318 นี้แล้วจะลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 319 วรรคแรกได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้แล้วก็ตาม ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้
การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสอง และพากันมาบ้านจำเลย นอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืน จำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย และจำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
เหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วย เพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลงและตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่าจะไปบ้านจำเลยอยากเห็นขาอ่อนจำเลยเป็นการจูงใจจำเลยดังนี้จึงสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพรากเด็กหญิงศรันยา อายุ ๑๓ ปีเศษ ไปเสียจากมารดาโดยเด็กหญิงศรันยาไม่เต็มใจไปด้วย แล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราและหน่วงเหนี่ยวกักขังเด็กหญิงศรันยา ทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๓๑๐, ๓๑๘, ๙๑
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๑๙ วรรคแรก จำคุก ๓ ปี ยกข้อหาอื่น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งพิจารณาคดีอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ เวลา ๑๒ นาฬิกาเศษ ผู้เสียหายกับจำเลยได้นัดพบกันที่ชั้นล่างของโรงแรมอินทราแล้วพากันไปดูภาพยนตร์และรับประทานอาหาร จนกระทั่งเวลาประมาณ ๒๓.๐๐ นาฬิกา ผู้เสียหายกับจำเลยก็พากันไปนอนที่บ้านของจำเลย โดยจำเลยจัดให้ผู้เสียหายนอนที่เตียงนอนของจำเลย จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นเวลา ๑๑ นาฬิกาเศษ บิดาบุญธรรมของผู้เสียหายพาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปรับตัวผู้เสียหายพร้อมกับจับกุมจำเลยมาดำเนินคดี
พิเคราะห์แล้ว คงมีปัญหาในชั้นนี้ว่า จำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙ วรรคแรก หรือไม่ ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๘ ซึ่งเมื่อไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติมาตรา ๓๑๘ จะลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยไม่ได้ ซึ่งปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้ก็ตาม ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้ และเห็นว่าตามกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษได้
การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสอง และพากันมาบ้านจำเลย นอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืน จำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยไว้แล้วด้วยว่า จำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยา และจำเลยก็มิได้ฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่าจำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่อีก แต่เห็นว่าเหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วย เพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลง และตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่า จะไปบ้านจำเลย อยากเห็นขาอ่อนจำเลย เป็นการจูงใจจำเลยอยู่ กรณีจึงสมควรให้ความกรุณาแก่จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด ๒ ปี แต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์