คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3931/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นบัญชีพยานจำเลยในวันสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน บัญชีพยานดังกล่าวอ้างตัวจำเลยทั้งสามซึ่งแม้เป็นกรณีจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ กฎหมายก็ยังให้จำเลยเบิกความเป็นพยานตนเองได้ และปรากฏตามคำร้องของจำเลยว่าเหตุที่ไม่ได้ยื่นบัญชีพยานตามกำหนด เพราะทนายจำเลยติดการประชุมสภาจังหวัด การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีพยาน โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสามจึงชอบแล้ว
จำเลยยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วโดยอ้างว่ายังบกพร่องอยู่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต โจทก์แถลงคัดค้าน แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบ เพิกถอนคำสั่ง แล้วสั่งใหม่ว่าสำเนาให้โจทก์ โจทก์แถลงคัดค้าน เมื่อศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตใหม่ โจทก์ไม่ได้คัดค้านคำสั่งนี้ไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ดังนั้นแม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นหลานเจ้ามรดก มีสิทธิรับมรดกแทนที่มารดาโจทก์ เจ้ามรดกมีที่ดิน 3 แปลงได้ยกให้โจทก์ก่อนเจ้ามรดกตาย โจทก์ครอบครอง ตลอดมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 โอนที่ดินทั้ง 3 แปลง แก่ จำเลยที่ 3 ขอให้พิพากษาว่าที่ดินทั้ง 3 แปลงเป็นของโจทก์ และเพิกถอนการโอนระหว่างจำเลย เมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าที่ดินทั้ง 3 แปลงเป็นมรดกและเจ้ามรดกมิได้ยกให้โจทก์แต่โจทก์เป็นทายาท มีสิทธิรับมรดกแทนที่มารดาโจทก์ศาลพิพากษาให้เพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างจำเลยเฉพาะส่วนที่โจทก์มีสิทธิรับมรดก และให้โอนที่ดินที่เพิกถอนนั้นแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนางน้อยผู้เป็นพี่น้องบิดามารดาเดียวกันกับนางสุข นางน้อยถึงแก่ความตายก่อนนางสุข นางสุขถึงแก่ความตายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ ไม่มีสามีโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่มีทายาทอื่นนอกจากโจทก์ซึ่งเป็นหลาน โจทก์มีสิทธิรับมรดกแทนที่มารดาโจทก์ นางสุขมีที่ดินปลูกบ้าน ๑ แปลง ที่นา ๓ แปลง เมื่อประมาณ ๑๐ ปีก่อนฟ้อง นางสุขยกที่ดินปลูกบ้านและที่นาแปลงที่ ๑ กับที่ ๒ ให้แก่โจทก์ แต่ยังไม่ได้โอนทางทะเบียน โจทก์ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของเกิน ๑๐ ปีแล้ว ศาลสั่งตั้งโจทก์จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนางสุข จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ โอนที่ดินทั้ง ๓ แปลงแก่จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ ๑ กับนางเที่ยงขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาททั้ง ๓ แปลงเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสามเกี่ยวข้องและสั่งว่าการโอนที่ดินพิพาททั้ง ๓ แปลงทางทะเบียนแก่จำเลยที่ ๓ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้เพิกถอนการโอนดังกล่าว
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นสามีนางสุข จำเลยที่ ๒ เป็นหลานนางสุขและเป็นทายาท จำเลยที่ ๓ เป็นบุตรของจำเลยที่ ๑ กับนางสุข ที่ดินพิพาททั้ง ๓ แปลงเป็นของจำเลยที่ ๑ ร่วมกับนางสุขไม่เคยยกให้โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองในฐานะผู้เช่า มิใช่เจ้าของ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๓ ตามหน้าที่และมติของเสียงข้างมากของผู้จัดการมรดกได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นางสุขมิได้ยกที่ดินพิพาททั้ง ๓ แปลงแก่โจทก์ ที่ดินพิพาททั้ง ๓ แปลงเป็นมรดกของนางสุข แต่จำเลยที่ ๓ เป็นบุตรของนางสุขอันเป็นทายาทลำดับ ๑ ส่วนโจทก์เป็นทายาทในลำดับถัดลงไป ไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดก พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นนี้มีปัญหาประการแรกว่าการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีพยานและบัญชีพยานเพิ่มเติมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ปรากฏตามสำนวนว่าจำเลยยื่นบัญชีพยานจำเลย ฉบับลงวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๒๖ ในวันสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนนั้น บัญชีพยานดังกล่าวเป็นการอ้างตัวจำเลยทั้งสามซึ่งแม้เป็นกรณีจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ กฎหมายก็ยังให้จำเลยเบิกความเป็นพยานตนเองได้ และปรากฏตามคำร้องของจำเลยว่า เหตุที่ไม่ได้ยื่นบัญชีพยานตามกำหนดเพราะทนายจำเลยติดการประชุมสภาจังหวัด ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีพยานโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๘ วรรคสามจึงชอบแล้ว ส่วนบัญชีพยานเพิ่มเติมฉบับลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๒๖ นั้น จำเลยยื่นภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว โดยอ้างว่ายังบกพร่องอยู่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต โจทก์แถลงคัดค้าน แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวยังไม่เปิดโอกาสให้โจทก์คัดค้าน ถือว่าไม่ชอบและได้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งใหม่ว่าสำเนาให้โจทก์ โจทก์แถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตโจทก์ไม่ได้คัดค้านคำสั่งนี้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๖ ดังนั้นแม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่านางสุขไม่ได้ยกที่ดินพิพาททั้ง ๓ แปลงแก่โจทก์ และที่ดินพิพาททั้ง ๓ แปลงเป็นมรดกของนางสุข จำเลยที่ ๓ ไม่ได้เป็นบุตรของนางสุขจึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนางสุข นางสุขมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม ๖ คนคือ นายบึ้ง นายบัว นางน้อย นางโม้ว นางแดง และนางสุข บุคคลทั้ง ๖ ถึงแก่ความตายหมดแล้ว ทายาทนางสุขมี ๔ คน คือนางจวงเป็นบุตรนายบึ้งนายอำคาเป็นบุตรนายบัว โจทก์เป็นบุตรนางน้อยซึ่งตายก่อนนางสุขเจ้ามรดกและจำเลยที่ ๒ เป็นบุตรนางแดง ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิรับมรดกของนางสุขแทนที่นางน้อยหนึ่งในสี่ส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาททั้ง ๓ แปลงระหว่างจำเลยทั้งสามเพียงหนึ่งในสี่ส่วนแล้วโอนที่ดินที่เพิกถอนแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share