แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าจำเลยกับพวกบุกรุกเข้าทำการเพาะปลูกพืชไร่ในที่พิพาทซึ่งโจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ อันเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเข้าไปในที่พิพาทโดยไม่มีสิทธิที่จะอ้างได้ แต่กลับนำสืบว่าจำเลยเข้าไปในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าจากโจทก์ กรณีเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์นำสืบไม่สมสภาพข้อหาข้ออ้างในคำฟ้อง และเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นคำฟ้อง อันไม่ชอบที่จะนำสืบได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าทำการเพาะปลูกพืชไร่ในที่ดินซึ่งโจทก์ก่อสร้างครอบครองทำประโยชน์เป็นเจ้าของ ขอให้ขับไล่และให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยครอบครองที่ดินแปลงนี้มาเกินกว่า 1 ปี ได้สิทธิครอบครอง โจทก์ไม่เสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ มีเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ ปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าจำเลยกับพวกได้บุกรุกเข้ามาทำการเพาะปลูกพืชไร่ในที่พิพาทซึ่งโจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ ตามฟ้องของโจทก์แสดงว่าเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเข้าไปในที่พิพาทโดยไม่มีสิทธิที่จะอ้างได้ แต่ในข้อนี้โจทก์นำสืบว่าจำเลยเข้าไปในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าจากโจทก์ กรณีของโจทก์จึงเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์นำสืบไม่สมสภาพข้อหาข้ออ้างในคำฟ้อง และเป็นการนำสืบนอกประเด็นในคำฟ้องอันไม่ชอบที่จะนำสืบได้ จึงไม่เป็นกรณีที่ศาลจะรับวินิจฉัยให้
อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยจำเลยพาครอบครัวเข้าไปปลูกกระต๊อบ และบุกเบิกที่พิพาททำไร่มาเกิน1 ปีแล้ว จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครอง
พิพากษายืน