แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกและทำลายทรัพย์ให้เสียหายรวมเป็นเงิน2,400 บาท ขอให้ลงโทษและเรียกค่าเสียหาย เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายจำเลยพิพากษายกฟ้องดังนี้แม้โจทก์จะฎีกาเฉพาะที่เกี่ยวกับส่วนแพ่งอ้างว่าทุนทรัพย์ของโจทก์ที่เรียกร้องมีถึง 2,400 บาทก็ตาม คดีของโจทก์ในส่วนแพ่งก็ไม่มีทางชนะ ได้เพราะในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม มาตรา46
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันบุกรุกเข้าไปในเขตที่สวนของโจทก์โดยเจตนาจะมิให้โจทก์ครอบครองที่โดยปกติสุข แล้วสมคบกันตัดฟันทำลายต้นจากคิดเป็นราคา 1,900 บาท และต่อมาอีกหลายวันจำเลยสมคบกันบุกรุกเข้าไปในเขตที่ดินของโจทก์อีกแล้วขุดฟันทำลายคันนาของโจทก์คิดเป็นราคา 504 บาท ขอให้ลงโทษตามมาตรา 324, 327 และเรียกค่าเสียหาย 2,400 บาท
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งให้รับไว้พิจารณาเฉพาะข้อหาฐานทำให้เสียทรัพย์
จำเลยทั้งสองปฏิเสธ และว่าที่สวนจากและนาเป็นของฝ่ายจำเลย
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าที่สวนจากและที่นาพิพาทเป็นของฝ่ายจำเลยพิพากษายกฟ้องทั้งทางแพ่งและทางอาญา
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่าคดีเกี่ยวด้วยความผิดในทางอาญาเป็นอันยุติแต่โดยที่โจทก์ได้ตั้งทุนทรัพย์เรียกร้องมาเป็นเงิน 2,400 บาทจึงฎีกาในส่วนแพ่งขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นที่ของฝ่ายจำเลยและว่าต้นจากไม่ใช่ของโจทก์ ศาลฎีกาจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ที่ว่าในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาโจทก์จึงไม่อาจชนะคดีได้ พิพากษายืน