คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5752/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องขอเพิกถอนหมายบังคับคดีในคดีนี้อ้างว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอม การที่จำเลยยื่นคำแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีในอีกคดีหนึ่งที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอายัดทรัพย์สินของจำเลยว่า ทรัพย์สินของจำเลยถูกเจ้าหนี้หลายรายรวมทั้งโจทก์อายัดไว้แล้ว การอายัดทรัพย์สินในคดีดังกล่าวจึงเป็นการอายัดซ้ำ ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการอายัดและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ถอนการอายัดแล้วเป็นการดำเนินการในคดีอื่นมิใช่ในคดีนี้ จึงมิใช่กรณีที่จำเลยได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หรือเป็นการให้สัตยาบันแก่การกระทำนั้น จำเลยจึงมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีในคดีนี้ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม
วันครบกำหนดชำระหนี้ตรงกับวันเสาร์ การที่จำเลยนำเงินเข้าบัญชีของโจทก์ในธนาคารทันทีในวันแรกที่เปิดทำการจึงไม่ถือว่าจำเลยผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ล่วงพ้นกำหนดและตกเป็นผู้ผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/8 แม้ธนาคารเปิดทำการในวันเสาร์อาทิตย์ก็มี ก็ไม่อาจเป็นข้อยกเว้นของกฎหมายได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยินยอมจะชำระค่าสินค้า 75,000 บาท และค่าทนายความอีก 2,000 บาท แก่โจทก์ ตกลงผ่อนชำระเดือนละไม่น้อยกว่า 15,000 บาท ให้เสร็จสิ้นภายใน 5 งวด เริ่มชำระงวดแรกภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2551 และงวดต่อไปทุกภายในวันที่เดียวกับการชำระงวดแรก โดยจะชำระเข้าบัญชีของโจทก์ หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีทันทีได้เต็มตามฟ้อง 179,495 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากราคาที่ค้างชำระคือ 158,036 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่18 มิถุนายน 2551 ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2551 โจทก์ยื่นคำขอว่า จำเลยผิดนัดไม่ผ่อนชำระงวดวันที่ 30 สิงหาคม 2551 ตามกำหนด ขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกหมายบังคับคดี
วันที่ 3 ธันวาคม 2551 จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีโดยอ้างว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้อง แต่ในวันนัดไต่สวน ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงที่คู่ความแถลงร่วมกันแล้ว เห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดไต่สวนและมีคำสั่งให้เพิกถอนหมายบังคับคดี
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยจำเลยตกลงผ่อนชำระค่าสินค้าด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีโจทก์แก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายใน 5 งวด เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 30 กรกฎาคม 2551 และงวดต่อไปภายในวันที่ 30 ของทุกเดือน ซึ่งจำเลยได้ผ่อนชำระค่าสินค้างวดแรกตรงตามกำหนดนัดในสัญญางวดต่อมาจำเลยต้องผ่อนชำระภายในวันที่ 30 ของเดือนถัดไป แต่จำเลยผ่อนชำระวันที่ 1 กันยายน 2551 โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่จำเลย ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนหมายบังคับคดีอ้างว่าไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ระหว่างไต่สวนคู่ความแถลงร่วมกันว่าจำเลยชำระเงินให้โจทก์ครบจำนวนตามสัญญาแล้ว โดยงวดแรกจำเลยผ่อนชำระตรงตามกำหนดนัดในสัญญา คือวันที่ 30 กรกฎาคม 2551 งวดที่สองจำเลยต้องผ่อนชำระภายในวันที่ 30 สิงหาคม 2551 แต่ปรากฏว่าจำเลยนำเงินผ่อนชำระวันที่ 1 กันยายน 2551 เนื่องจากวันที่ 30 และ 31 สิงหาคม 2551 เป็นวันเสาร์และวันอาทิตย์ งวดที่สามและที่สี่ชำระเกินกำหนด 1 วัน และงวดที่ห้าชำระตรงตามกำหนด 5 งวด ครบถ้วนตามกำหนดที่ได้ตกลงกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความในกรณีจำเลยไม่ผิดนัดแล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกมีว่า จำเลยมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า ภายหลังจากที่จำเลยยื่นคำร้องขอเพิกถอนหมายบังคับคดีในคดีนี้แล้ว จำเลยยื่นคำแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกคดีหนึ่งอายัดทรัพย์สินของจำเลยว่า ทรัพย์สินของจำเลยถูกเจ้าหนี้หลายรายรวมทั้งโจทก์อายัดไว้แล้ว การอายัดทรัพย์สินของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงเป็นการอายัดซ้ำกับคดีของโจทก์ ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการอายัดและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ถอนการอายัดในคดีดังกล่าวแล้ว ถือว่าจำเลยให้สัตยาบันแก่การบังคับคดีของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสาม จำเลยจึงไม่อาจของเพิกถอนหมายบังคับคดีได้ เห็นว่า การที่จำเลยยื่นคำแถลงในอีกคดีหนึ่งว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวอายัดซ้ำกับคดีของโจทก์ เป็นการดำเนินการในคดีอื่นอีกคดีหนึ่งภายหลังจากที่จำเลยยื่นคำร้องในคดีนี้เพื่อรักษาประโยชน์ของตนเองในฐานะที่เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวมิใช่การดำเนินการในคดีนี้ จึงมิใช่กรณีที่จำเลยได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หรือเป็นการให้สัตยาบันแก่การกระทำนั้น ดังนั้น เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเห็นว่าศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีไม่ถูกต้อง จำเลยจึงมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปมีว่า จำเลยผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเหตุให้ต้องออกหมายบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า ตามคำขอลงวันที่ 5 กันยายน 2551 ของโจทก์ที่ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยอ้างว่า จำเลยผิดนัดไม่ผ่อนชำระหนี้งวดวันที่ 30 สิงหาคม 2551 นั้น ปรากฏตามคำแถลงรับข้อเท็จจริงของโจทก์จำเลยว่าในวันครบกำหนดคือวันที่ 30 สิงหาคม 2551 เป็นวันเสาร์ซึ่งหยุดราชการ แต่จำเลยก็นำเงินเข้าบัญชีโจทก์ในวันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2551 ซึ่งเป็นวันเปิดทำการวันแรกทันที ซึ่งการนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/8 บัญญัติว่า ถ้าวันสุดท้ายของระยะเวลาเป็นวันหยุดทำการตามประกาศเป็นทางการหรือตามประเพณี ให้นับวันที่เริ่มทำการใหม่ต่อจากวันที่หยุดทำการนั้นเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลา ดังนั้น การที่จำเลยนำเงินเข้าบัญชีของโจทก์ทันทีในวันแรกที่เปิดทำการจึงไม่ถือว่าจำเลยผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ล่วงพ้นกำหนดและตกเป็นผู้ผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีจึงเป็นการไม่ชอบ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าธนาคารเปิดทำการในวันเสาร์อาทิตย์ก็มีนั้นไม่อาจเป็นข้อยกเว้นของกฎหมาย และแม้จะมีข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่า ในงวดที่สามและที่สี่จำเลยยังคงนำเงินเข้าบัญชีโจทก์เกินกำหนดนั้น ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นในภายหลัง ไม่ทำให้การออกหมายบังคับคดีที่ไม่ชอบกลับกลายเป็นหมายบังคับคดีที่ถูกต้องตามกฎหมายไปได้ คดีฟังได้ว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงไม่มีเหตุที่จะออกหมายบังคับคดีได้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนหมายบังคับคดีจึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share