คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13041/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะที่จำเลยชักชวนนางสาว ว. ไปพักอาศัยที่บ้านพักครูประจำโรงเรียน ผู้เสียหายซึ่งเป็นมารดาไม่ยินยอม แต่นางสาว ว. ไม่เชื่อฟังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าและจำเลยมารับไป หลังจากนั้นหลายเดือน นางสาว ว. ไม่ได้กลับมาบ้านและไม่ได้ส่งข่าวมาที่บ้านเลย ผู้เสียหายจึงไม่ทราบว่านางสาว ว. อยู่ที่ใด แสดงว่านางสาว ว. เต็มใจออกจากบ้านผู้เสียหายไปพักอาศัยอยู่ที่อื่นตั้งแต่ก่อนวันเกิดเหตุตามฟ้อง และบิดามารดามิได้ใส่ใจติดตาม นางสาว ว. จึงไม่อยู่ในความปกครองดูแลของบิดามารดาแล้ว การที่จำเลยหลอกพานางสาว ว. ไปกระทำชำเราในเวลาต่อมา จึงไม่เป็นการพรากนางสาว ว. ไปเสียจากบิดามารดา ไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม ป.อ. มาตรา 318

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 และนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1495/2547 ของศาลอาญาธนบุรี
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคสาม ให้จำคุก 5 ปี ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1495/2547 ของศาลอาญาธนบุรีนั้น โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าคดีอาญาดังกล่าวศาลมีคำพิพากษาแล้วหรือไม่ อย่างไร จึงไม่นับโทษต่อให้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า นางสาววีนา ผู้เยาว์เป็นบุตรของนายบุญยืน และนางสงวนวงศ์ ผู้เสียหาย เกิดเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2528 ขณะเกิดเหตุมีอายุ 17 ปีเศษ ส่วนจำเลยรับราชการเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนวัดอ้อมใหญ่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เมื่อนางสาววีนาเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในปี 2545 จำเลยชักชวน และช่วยเหลือนางสาววีนาให้ได้เข้าทำงานเป็นครูช่วยสอนนักเรียนอนุบาลที่โรงเรียนวัดอ้อมใหญ่ โดยตอนแรกยังพักอาศัยอยู่กับผู้เสียหายในตำบลหอมเกร็ด อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษหรือไม่ เห็นว่า ตามคำเบิกความของนางสาววีนาพยานโจทก์ได้ความว่า เมื่อนางสาววีนาเข้าทำงานที่โรงเรียนวัดอ้อมใหญ่ในปี 2545 แล้วประมาณ 7 ถึง 8 เดือนก็ลาออก โดยอ้างว่าถูกจำเลยลวนลาม แต่ต่อมาประมาณ 3 เดือน จำเลยชวนกลับเข้าทำงานใหม่เป็นครูรับจ้างช่วยสอนค่าจ้างวันละ 200 บาท นางสาววีนาก็กลับเข้าทำงานต่อมาจำเลยชักชวนไปพักอาศัยที่บ้านพักครูประจำโรงเรียน แต่บ้านพักครูเต็ม จำเลยจึงชวนไปพักอาศัยที่บ้านใหม่อพาร์ตเมนต์โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้และนางสาววีนาเบิกความอีกว่า ต่อมาต้นเดือนมีนาคม 2546 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา อันเป็นวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง ขณะที่พยานสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนจำเลยมาบอกให้พยานไปบริจาคหนังสือตามโรงเรียนอื่น ๆ กับจำเลย โดยใช้รถยนต์ตู้เป็นพาหนะไปและไปด้วยกันเพียง 2 คน แต่จำเลยขับรถพาเข้าไปที่โรงแรมฟอลโลอินทร์ในเมืองนครปฐมแล้วข่มขืนกระทำชำเรานางสาววีนา และหลังจากนั้นจำเลยยังหลอกพานางสาววีนาไปกระทำชำเราอีก 4 ครั้ง โดยนางสาววีนาไม่ยินยอม และผู้เสียหายก็เบิกความว่าตอนที่จำเลยชักชวนนางสาววีนาไปพักอาศัยที่บ้านพักครูประจำโรงเรียน ผู้เสียหายไม่ยินยอม แต่นางสาววีนาไม่เชื่อฟังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า และจำเลย ก็มารับนางสาววีนาไปอยู่ที่บ้านพักครูและยังเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า หลังจากนางสาววีนาออกจากบ้านไปแล้วหลายเดือน นางสาววีนาไม่ได้กลับมาบ้านและไม่ได้ส่งข่าวมาที่บ้านเลย จึงไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด พฤติการณ์ตามคำเบิกความพยานโจทก์ดังกล่าวแสดงว่านางสาววีนาเต็มใจออกจากบ้านผู้เสียหายไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านใหม่อพาร์ตเมนต์ตั้งแต่ก่อนวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องและบิดามารดาก็มิได้เอาใจใส่ติดตาม ดังนี้ตั้งแต่วันที่นางสาววีนาไปอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ดังกล่าวตลอดมาจนถึงวันเกิดเหตุนั้นนางสาววีนาไม่ได้อยู่ในความปกครองดูแลของบิดามารดาแล้ว ดังนี้แม้หากจะฟังว่าจำเลยหลอกพานางสาววีนาไปกระทำชำเราตามที่นางสาววีนากล่าวอ้างก็ตาม การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นการพรากนางสาววีนาไปเสียจากบิดามารดา จึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า จำเลยหลอกพานางสาววีนาไปข่มขืนกระทำชำเราที่โรงแรมหรือไม่และฎีกาของจำเลยข้ออื่นอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share