แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 8 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายในฐานะที่จำเลยที่ 8 รับประกันภัยรถยนต์ ซึ่งการรับประกันภัยทุกรายต้องมีกรมธรรม์และมีจำนวนเงินที่เอาประกันภัยอันเป็นวงเงินรับประกันภัยที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 877 วรรคท้าย ก็บัญญัติว่า ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้ ทั้งศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยคนใดต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 8 รับผิดต่อโจทก์ 250,000 บาท ซึ่งเป็นวงเงินที่จำเลยที่ 8 รับประกันภัยเท่าที่โจทก์มีสิทธิตามกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งจำเลยที่ 8 ส่งต่อศาลจึงไม่เป็นการนอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-3864 พิจิตร พร้อมรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 80-3862 พิจิตร ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยมีนายพนมขับรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-2048 นครสวรรค์ ของโจทก์ตามหลัง เมื่อถึงที่เกิดเหตุลูกจ้างของจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7ได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0515 กรุงเทพมหานครในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 และลูกจ้างของจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11ได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-5342 กรุงเทพมหานครในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 สวนทางมา ด้วยความเร็วสูงโดยแข่งกันและตีคู่กันมา โดยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 70-0515กรุงเทพมหานคร แซงรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-5342กรุงเทพมหานคร และอยู่ในช่องทางเดินรถของรถยนต์บรรทุกที่มีรถพ่วงและผู้ขับรถยนต์บรรทุกทั้งสามคันต่างก็ไม่ชะลอความเร็วของรถที่ตนขับลง เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0515กรุงเทพมหานคร ชนกับรถยนต์บรรทุกที่มีรถพ่วงทำให้น้ำมันซึ่งอยู่ในถังน้ำมันของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0515 กรุงเทพมหานครกระเด็นไปถูกรถยนต์โดยสารของโจทก์ ไฟได้ลุกไหม้รถยนต์ของโจทก์เสียหายใช้การไม่ได้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7จำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 กับจำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกที่มีรถพ่วง และจำเลยที่ 8 ผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 70-0515 กรุงเทพมหานคร ต้องร่วมกันรับผิด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันชำระเงิน 1,000,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ให้การว่า เหตุที่รถชนกันมิได้เกิดจากคนขับรถของตน แต่เกิดจากคนขับรถของจำเลยอื่น และเหตุที่ไฟไหม้รถของโจทก์เกิดจากความประมาทของคนขับรถของโจทก์ที่นำรถเข้าไปจอดใกล้ที่เกิดเหตุ ค่าเสียหายของโจทก์ก็มีไม่ถึงตามที่เรียกร้อง จำเลยที่ 8 มิได้รับประกันวินาศภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 70-0515 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 8 และที่ 11 ให้การว่าโจทก์มิได้เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10-2048นครสวรรค์ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 ให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องเกิน 1 ปีแล้ว จำเลยทั้งสิบเอ็ดขอให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 11 ศาลชั้นต้นอนุญาตจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 11 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จและให้จำเลยที่ 8 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 5 และที่ 6ในจำนวนเงิน 250,000 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่เหลือ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 8 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 5 และที่ 6 ในจำนวนเงิน 800,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย นอกจากที่แก้คงให้เป็นตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 8 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 8 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายในฐานะที่จำเลยที่ 8 รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 70-0515 กรุงเทพมหานคร ซึ่งการรับประกันภัยทุกรายต้องมีกรมธรรม์และมีจำนวนเงินที่เอาประกันภัยอันเป็นวงเงินรับประกันภัยที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 877 วรรคท้ายก็บัญญัติว่าท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้ ทั้งศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยคนใดต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 8 รับผิดต่อโจทก์ 250,000 บาท ซึ่งเป็นวงเงินที่จำเลยที่ 8 รับประกันภัยเท่าที่โจทก์มีสิทธิตามกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งจำเลยที่ 8 ส่งต่อศาลจึงไม่เป็นการนอกประเด็น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็นและพิพากษาให้จำเลยที่ 8 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 5 และที่ 6 ในวงเงิน 800,000บาท ซึ่งสูงกว่าจำนวนเงินที่เอาประกันภัย เป็นการพิพากษาให้โจทก์ได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 8 เกินกว่าที่โจทก์จะมีสิทธิได้รับตามกฎหมายจึงไม่ชอบ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 8 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 5และที่ 6 ในจำนวนเงิน 250,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2