คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5739/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การฟ้องใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตน จากบุคคลที่ไม่มีสิทธิจะยึดถือ ไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 นั้น ต้องได้ความว่าทรัพย์สินนั้นยังอยู่ในความครอบครองของจำเลย เมื่อทรัพย์พิพาทที่จำเลยทั้งสองได้รับมอบมาเพื่อใช้ในการถ่ายทอดสดรายการต่าง ๆ ได้สูญหายไปโดย ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเอาทรัพย์พิพาทไปเป็นของตน หรือของบุคคลอื่นโดยมิชอบ แสดงว่าทรัพย์พิพาทไม่ได้อยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนจากจำเลยทั้งสองได้ ทั้งการที่โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ราคานั้นก็ปรากฏว่าโจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ผู้บังคับบัญชาของจำเลยทั้งสองได้ขอยืมพัสดุคุรุภัณฑ์ กล้องถ่ายโทรทัศน์ พร้อมอุปกรณ์คือจอมองภาพและซูมเลนส์ 1 ชุด ราคา 191,500 บาท และเครื่องเทปโทรทัศน์ชนิดพกพา ซึ่งใช้ร่วมกับกล้องถ่ายโทรทัศน์ ราคา 130,000 บาทจากฝ่ายผลิตรายการสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 มอบให้จำเลยทั้งสองนำไปใช้ในการถ่ายทอดสดรายการต่าง ๆ โดยให้อยู่ในความครอบครองดูแลของจำเลยทั้งสอง และเมื่อเสร็จสิ้นการถ่ายทอดแต่ละรายการแล้วจำเลยทั้งสองจะต้องนำกล้องถ่ายโทรทัศน์พร้อมอุปกรณ์และเครื่องเทปโทรทัศน์ชนิดพกพาซึ่งยืมมาดังกล่าวทั้งหมดคืนแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองหาได้กระทำดังกล่าวไม่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเอาทรัพย์ดังกล่าวของโจทก์ไปเป็นประโยชน์ของตนหรือบุคคลอื่นโดยมิชอบ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 321,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนกล้องถ่ายโทรทัศน์พร้อมอุปกรณ์ 1 ชุดและเครื่องเทปโทรทัศน์ชนิดพกพาอีก 1 เครื่อง หรือชดใช้ราคาทรัพย์จำนวน 321,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า นายบุญธรรมรัตนแสง ผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ได้ยืมกล้องโทรทัศน์พร้อมอุปกรณ์และเครื่องเทปโทรทัศน์ชนิดพกพาพิพาทจากฝ่ายผลิตรายการเมื่อใช้งานเสร็จแล้ว นายบุญธรรมในฐานะผู้ยืมจึงมีหน้าที่ส่งคืน หาใช่จำเลยที่ 1 ไม่ ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่ได้เอาหรือร่วมกับจำเลยที่ 2 เอากล้องโทรทัศน์พร้อมอุปกรณ์และเครื่องเทปโทรทัศน์ชนิดพกพาพิพาทไปเป็นประโยชน์ของตนหรือของบุคคลอื่นโดยมิชอบแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 2ไม่เคยครอบครองทรัพย์ของโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์หรือใช้ราคาทรัพย์ที่สูญหายต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องเกินกว่า1 ปี นับแต่วันทำละเมิด คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นได้ฟังว่าเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2535 นายบุญธรรม รัตนแสง หัวหน้างานเทปโทรทัศน์ และเครื่องฉาย สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยทั้งสองได้ยืมกล้องถ่ายโทรทัศน์ ยี่ห้อ เจ วี ซี รุ่น เค วายหมายเลขคุรุภัณฑ์ สทท.20-35173 พร้อมอุปกรณ์คือจอมองภาพซีเรียลนัมเบอร์ 10657065 และซูมเลนส์ ซีเรียล นัมเบอร์ 1050094รวม 1 ชุด ราคา 191,500 บาท และเครื่องเทปโทรทัศน์ชนิดพกพาซึ่งใช้ร่วมกับกล้องถ่ายโทรทัศน์ยี่ห้อ เจ วี ซี รุ่น บี อาร์ เอส 410 อี ซีเรียล นัมเบอร์ 12411458 หมายเลขคุรุภัณฑ์สทท. 20-3604132 ราคา 130,000 บาท จากฝ่ายผลิตรายการสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ มอบให้จำเลยทั้งสองนำไปใช้ในการถ่ายทอดสดรายการต่าง ๆ โดยให้อยู่ในความครอบครองดูแลของจำเลยทั้งสอง เมื่อเสร็จสิ้นการถ่ายทอดแต่ละรายการแล้วปรากฏว่ากล้องถ่ายโทรทัศน์พร้อมอุปกรณ์และเครื่องเทปโทรทัศน์ที่พกพาดังกล่าวได้สูญหายไป มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์เพียงว่า จำเลยทั้งสองจะต้องคืนกล้องถ่ายโทรทัศน์พร้อมอุปกรณ์พิพาทหรือชดใช้ราคาทรัพย์พิพาทแก่โจทก์หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า มีการมอบกล้องถ่ายโทรทัศน์พร้อมอุปกรณ์พิพาท ให้จำเลยทั้งสองครอบครองดูแลใช้ในการปฏิบัติราชการเมื่อเกิดสูญหายในระหว่างการครอบครองขณะจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบโจทก์จึงมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนจากจำเลยทั้งสองหรือให้ใช้ราคาทรัพย์สินนั้น เห็นว่าการฟ้องใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลที่ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 ได้ ต้องได้ความว่าทรัพย์สินนั้นยังอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสอง เมื่อทางนำสืบได้ความเพียงว่าทรัพย์พิพาทได้สูญหายไปโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันเอาทรัพย์พิพาทไปเป็นของตนหรือของบุคคลอื่นโดยมิชอบ แสดงว่าทรัพย์พิพาทไม่ได้อยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนจากจำเลยทั้งสองได้ ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ราคานั้น ในเมื่อโจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share