คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5723/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คผู้ถือแล้วมอบให้ ว.เป็นการชั่วคราวตามคำขอร้อง ของ ก. มารดาจำเลย ต่อมา ก.ได้ออกเช็คของ ก. มอบให้ ว. แทนเช็คพิพาท และ ว. นำเช็คฉบับหลังขึ้นเงินได้แล้วแต่ไม่คืนเช็คพิพาทให้จำเลย จำเลยไม่ได้ออกเช็คพิพาทให้โจทก์ และโจทก์ไม่เคยได้เช็คพิพาทไว้ในครอบครองโจทก์เพียงแต่มีภาพถ่ายเช็คพิพาทไว้เท่านั้น ดังนี้ โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นบุตรของนางกาญจนา ผู้ตายจำเลยที่ ๒ เป็นผู้จัดการมรดกของนางกาญจนา เมื่อกลางเดือนตุลาคม ๒๕๒๕ จำเลยที่ ๑ ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาท จำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์โดยนางกาญจนาเป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาท ต่อมาโจทก์โอนขายเช็คพิพาทให้แก่นายสุพจน์ เมื่อเช็คพิพาทครบกำหนดใช้เงิน นายสุพจน์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน นายสุพจน์ทวงถามให้โจทก์ชำระเงินตามเช็คพิพาท โจทก์ได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่นายสุพจน์แล้ว โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาท จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระเงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ โจทก์กับนางสาววนิดา สมคบกันนำเช็คพิพาทมาฟ้องจำเลยที่ ๑ โดยทุจริต ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า นางกาญจนาไม่เคยสลักหลังเช็คพิพาทโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระเงินจำนวน๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย และเช็คพิพาทนั้นเป็นเช็คไม่มีมูลหนี้ ปัญหาตามฎีกาข้อแรกนั้น พยานหลักฐานโจทก์มีตัวโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่านางกาญจนาและจำเลยที่ ๑ ได้ออกเช็คคนละฉบับ ลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน๒๕๒๕ สั่งจ่ายเงินให้โจทก์ฉบับละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ฉบับที่นางกาญจนาออกให้เรียกเก็บเงินได้แล้ว ส่วนฉบับที่จำเลยที่ ๑ ออก คือฉบับพิพาทในคดีนี้ โจทก์ได้ขายให้นายสุพจน์ วาทิตต์พันธ์ุ เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดใช้เงิน นายสุพจน์ได้ฝากนางสาววนิดา วัฒนะ ไปเรียกเก็บเงินปรากฏว่าธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน นายสุพจน์ได้นำเช็คพิพาทไปฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นคดีอาญาหาว่ากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ ตามคดีอาญา หมายเลขดำที่ ๑๙๙/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น ครั้นวันที่ ๑๕ มกราคม๒๕๒๖ โจทก์ได้ชำระเงินให้นายสุพจน์และรับเช็คพิพาทมาดำเนินคดีแพ่งคดีนี้ คำพยานโจทก์ดังกล่าวแม้จะมีนายสุพจน์และนางสาววนิดามาเบิกความประกอบแต่ก็ไม่ได้ความว่าเช็คฉบับที่นางกาญจนาเป็นผู้สั่งจ่ายและเรียกเก็บเงินได้แล้วนั้นโจทก์เป็นผู้ทรงและได้นำไปเรียกเก็บเงินจริงดังที่อ้าง เพราะตัวโจทก์และพยานประกอบต่างก็เบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุน ข้อนี้จำเลยทั้งสองทั้งสองต่อสู้ว่านางกาญจนาออกเช็คฉบับดังกล่าวให้นางสาววนิดาไม่ได้ออกให้โจทก์เนื่องจากไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่สามารถแสดงได้ว่าโจทก์เคยเป็นผู้ทรงเช็คฉบับดังกล่าวนั้น ข้ออ้างที่ว่านางกาญจ นาได้ออกเช็คฉบับดังกล่าวให้โจทก์จึงไม่น่าเชื่อถือ ส่วนข้อที่โจทก์นำสืบว่าได้ขายเช็คพิพาทให้นายสุพจน์ไปและนายสุพจน์ได้ฝากให้นางสาววนิดานำไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินนั้น ก็ยังมีข้อน่าสงสัยว่าโจทก์ได้เช็คพิพาทไว้ในความครอบครอง และได้โอนขายให้นายสุพจน์จริงหรือไม่ เนื่องจากตามที่โจทก์นำสืบว่า เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค โจทก์ได้ชำระเงินให้นายสุพจน์แล้วรับเช็คพิพาทมาดำเนินคดีแพ่งคดีนี้คำเบิกความตอนนี้ของโจทก์กับคำเบิกความของนายสุพจน์ขัดแย้งกันในสาระสำคัญโดยตามคำของโจทก์ว่า เมื่อชำระเงินให้นายสุพจน์แล้วก็รับเช็คพิพาทมาในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๖ นั้นเอง แต่ตามคำของนายสุพจน์ว่าเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๖ โจทก์ได้ชำระเงินให้บางส่วนก่อน ครั้นปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ โจทก์จึงชำระเสร็จสิ้นและรับเช็คพิพาทไปซึ่งเป็นพิรุธอยู่ นอกจากนี้ ข้อนี้นำสืบอ้างว่าโจทก์ได้ชำระเงินตามเช็คให้นายสุพจน์และรับเช็คพิพาทมาดำเนินคดีแพ่งคดีนี้ก็ขัดต่อข้อเท็จจริง เพราะปรากฏว่าในการดำเนินคดีนี้โจทก์ไม่มีต้นฉบับเช็คพิพาทมาเป็นหลักฐานเพราะเช็คพิพาทนั้นนายสุพจน์ยังคงใช้ในการดำเนินคดีอาญาอยู่ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่๑๙๙/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้น โจทก์มีเพียงภาพถ่ายเช็คพิพาทซึ่งถ่ายจากสำนวนคดีอาญาดังกล่าวและจ่าศาลรับรองสำเนาให้เท่านั้นที่ได้ใช้ในการดำเนินคดีนี้ ส่วนข้อที่นำสืบอ้างว่านายสุพจน์ได้ฝากเช็คพิพาทให้นางสาววนิดานำไปเช้าบัญชีนั้นก็น่าสงสัยอยู่มาก เพราะไม่ปรากฏว่านางสาววนิดาสนิทสนมชอบพอกับนายสุพจน์พอที่นายสุพจน์จะไว้วางใจให้นำเช็คพิพาทไปฝากเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินให้ ดังนี้ เห็นว่าคำพยานโจทก์เกี่ยวกับการเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทมีน้ำหนักน้อย ที่อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ได้ออกเช็คพิพาทให้โจทก์ แล้วโจทก์ได้โอนขายให้นายสุพจน์ และนายสุพจน์เอาไปฝากนางสาววนิดาเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินนั้น จึงไม่น่าเชื่อ ส่วนพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองที่ว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่นางกาญจนาขอร้องให้จำเลยที่ ๑ ออกให้นางสาววนิดาเป็นการชั่วคราว ต่อมานางกาญจนาได้ออกเช็คของตนเองให้นางสาววนิดาแทนเช็คพิพาทที่จำเลยที่ ๑ ออกไว้ และนางสาววนิดานำไปขึ้นเงินได้แล้วแต่ไม่คืนเช็คพิพาทให้จำเลยที่ ๑ โดยอ้างว่าได้ฉีกทิ้งแล้วนั้นจำเลยทั้งสองและพยานประกอบเบิกความสมเหตุผล มีน้ำหนักดีกว่าคำพยานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ มิได้ออกเช็คพิพาทให้โจทก์แต่ได้ออกให้นางสาววนิดาเป็นการชั่วคราวตามคำขอร้องของนางกาญจนา และต่อมานางกาญจนาก็ได้ออกเช็คของตนเองให้นางสาววนิดาแทนเช็คพิพาทไปแล้วเมื่อนางสาววนิดาขึ้นเงินตามเช็คฉบับหลังได้แล้วจะต้องคืนเช็คพิพาทให้จำเลยที่ ๑ แต่หาได้คืนให้ไม่ เมื่อจำเลยที่ ๑ มิได้ออกเช็คพิพาทให้โจทก์ และโจทก์ไม่เคยได้เช็คพิพาทไว้ในครอบครองเพียงแต่มีภาพถ่ายเช็คพิพาทไว้เท่านั้น โจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้แม้เช็คพิพาทจะมีลักษณะเป็นเช็คผู้ถือก็ตาม
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share