แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ม.ได้จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้แก่บิดาโจทก์ในวันเดียวกับที่ทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ แล้วฝ่ายโจทก์ก็เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา ต่อมาม.ได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซ้ำในที่ดินพิพาทที่ได้ขายให้แก่บิดาโจทก์ไปแล้ว และจดทะเบียนขายให้แก่จำเลยในวันเดียวกับที่ทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับหลังให้ ซึ่งม.ไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ จำเลยซึ่งได้รับโอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับหลังมาจากม. จึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาท โจทก์ครอบครองที่พิพาทและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งมีชื่อบิดาโจทก์อยู่จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตราบใดที่โจทก์ครอบครองและถือสิทธิตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์อยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่าผู้อื่น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรและผู้จัดการมรดกของนายชายป้องรอง ก่อนถึงแก่กรรมนายชายได้ซื้อที่นา น.ส.3 เลขที่ 9ตำบลสระสมิง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่56 ไร่ จากนายหมั่น วังคะฮาด โดยสุจริตและจดทะเบียนซื้อขายกันในวันที่ 14 กรกฎาคม 2510 หลังจากนั้นนายชายได้เข้าครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2520 ต่อมาประมาณต้นปี พ.ศ. 2528 โจทก์ได้นำคำสั่งศาลที่ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกไปขอโอน น.ส.3 ดังกล่าวมาเป็นของโจทก์ เจ้าพนักงานที่ดินอ้างว่า มี น.ส.3 อีกฉบับหนึ่งซึ่งออกภายหลังซ้ำกับ น.ส.3 ของนายชายดังกล่าว โดยมีเนื้อที่43 ไร่ 1 งาน 99 ตารางวา และระบุว่าจำเลยซื้อจากนายหมั่น วังคะฮาดจึงไม่สามารถโอนให้โจทก์ได้ โจทก์ได้ให้ทนายความบอกกล่าวไปยังจำเลย ขอให้จำเลยเพิกถอน น.ส.3 ของจำเลย แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้พิพากษาเพิกถอน น.ส.3 ของจำเลย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท ให้จำเลยนำ น.ส.3 ของจำเลยไปจดทะเบียนเป็นโมฆะต่อสำนักงานที่ดินที่ออก น.ส.3 หากเพิกเฉยขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยให้การว่านายชาย ป้องรอง มิได้ซื้อที่พิพาทจากนายหมั่น วังคะฮาด จึงมิใช่มรดกของนายชาย สัญญาขายที่ดินและ น.ส.3 ท้ายฟ้องโจทก์เป็นเอกสารปลอม เพราะไม่ได้ออกโดยเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจ ที่พิพาทเป็นของนายหมั่น วังคะฮาด ซึ่งเจ้าพนักงานได้สำรวจแล้วออกเป็นน.ส.3 เล่ม 2 หน้า 23 สารบบเล่มหมู่ 7 หน้า 9 ให้นายหมั่น ต่อมาเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2511 จำเลยได้ซื้อที่พิพาทจากนายหมั่นโดยจดทะเบียนถูกต้อง แล้วให้นายชายเช่าทำกิน ครั้นนายชายถึงแก่กรรมโจทก์ขอเช่าต่อ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)ฉบับเล่ม 2 หน้า 23 สารบบเล่มหมู่ 7 หน้า 7 (ที่ถูกหน้า 9) ตำบลสระสมิง หมู่ที่ 7 อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานีของจำเลย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท ส่วนคำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิเหนือที่พิพาท หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยได้ออกโดยชอบนั้นข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนายประสิทธิ์ โคตรรักษาเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานีพยานจำเลยว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งของโจทก์และของจำเลยได้ออกมาโดยถูกต้อง เห็นว่า พยานปากนี้เป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด จึงรับฟังเป็นความจริงได้ ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ เอกสารหมาย จ.1 ทางราชการได้ออกให้เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2510 ในวันดังกล่าวนายหมั่น วังคะฮาด ได้จดทะเบียนขายให้แก่นายชายบิดาโจทก์ และบิดาโจทก์ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินที่ซื้อมากับสหกรณ์ศีรษะกระบือไม่จำกัดสินใช้ และข้อเท็จจริงได้ความจากคำพยานโจทก์จำเลยว่า ฝ่ายโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา ส่วนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.5 ทางราชการได้ออกให้เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2511 และนายหมั่นได้จดทะเบียนโอนขายให้จำเลยในวันเดียวกัน ซึ่งเป็นการออกและจดทะเบียนหลังจากที่นายหมั่นได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจดทะเบียนโอนขายให้แก่บิดาโจทก์แล้ว การที่นายหมั่นไปยื่นคำร้องลงวันที่ 25 ธันวาคม 2510 ขอถอนการขายที่ดินให้แก่บิดาโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.1 และต่อมาทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ ตามเอกสารหมาย ล.5 ก็เป็นเรื่องที่นายหมั่นไปดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซ้ำในที่ดินที่ตนได้ขายให้แก่บิดาโจทก์ไปแล้ว ซึ่งนายหมั่นไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ นายหมั่นจึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาท จำเลยซึ่งได้รับโอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวจากนายหมั่น จึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาทเช่นกัน คดีปรากฏว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทและหนังสือรับรองการทำประโยชน์มีชื่อบิดาโจทก์อยู่ จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินที่โจทก์ยึดถืออยู่นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตราบใดที่โจทก์ครอบครองและถือสิทธิตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์อยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย ก็ย่อมมีสิทธิดีกว่าผู้อื่น จำเลยจะอ้างว่าตนเป็นเจ้าของขึ้นมาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน