แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ว่าตามคำฟ้องโจทก์จะบรรยายว่าจำเลยขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อชนรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ตายขับซึ่งกำลังจะเลี้ยวขวาเข้าทางแยกแต่ทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า รถจักรยานยนต์คันที่ผู้ตายขับเกิดเสียหลักล้มคว่ำไถลเข้ามาในช่องเดินรถของจำเลยจึงเฉี่ยวชนกันซึ่งแตกต่างกันก็ตาม แต่ก็หาใช่ข้อสาระสำคัญไม่เพราะโจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่าเหตุที่เกิดเฉี่ยวชนกันเพราะจำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงทำให้จำเลยไม่สามารถห้ามล้อหยุดรถได้ทันและไม่สามารถควบคุมรถเพื่อไม่ให้เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายได้ อันเป็นคำฟ้องในส่วนสาระสำคัญ ซึ่งทางพิจารณาโจทก์ก็นำสืบได้ความตามคำฟ้องส่วนนี้ ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ จึงหาใช่เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องอันศาลจะต้องยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 70, 78, 148,157, 160, 162 และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถของจำเลยด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายฉลวย เจริญสุข บิดาของนายอตินาจเจริญสุข ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43(4), 70, 148, 157, 78, 160 วรรคสอง อันเป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แต่ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 เป็นกรรมเดียวกับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4), 70, 148, 157ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกจำเลย1 ปี และลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 160วรรคสอง อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 2 เดือน รวมจำคุกจำเลย 1 ปี 2 เดือนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ในข้อหาฐานหลบหนี จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 160 วรรคแรกจำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 1 เดือน ให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 3 ปี และให้คุมประพฤติจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติประจำศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา3 เดือนต่อ 1 ครั้ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องอันจะต้องยกฟ้องหรือไม่ เห็นว่าแม้ตามคำฟ้องโจทก์จะบรรยายว่าจำเลยขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อชนรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ตายขับซึ่งกำลังจะเลี้ยวขวาเข้าทางแยกวัดสามเรือน แต่ทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า รถจักรยานยนต์คันที่ผู้ตายขับเกิดเสียหลักล้มคว่ำไถลเข้ามาในช่องเดินรถของจำเลยจึงเฉี่ยวชนกัน ซึ่งแตกต่างกันก็ตาม แต่ก็หาใช่ข้อสาระสำคัญไม่ เพราะโจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่าเหตุที่เกิดเฉี่ยวชนกันเพราะจำเลยขับรถด้วยความเร็วสูง ทำให้จำเลยไม่สามารถห้ามล้อหยุดรถได้ทันและไม่สามารถควบคุมรถเพื่อไม่ให้เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายได้ อันเป็นคำฟ้องในส่วนสาระสำคัญ ซึ่งทางพิจารณาโจทก์ก็นำสืบได้ความตามคำฟ้องส่วนนี้ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์จึงหาใช่เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องอันศาลจะต้องยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ไม่
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า สมควรลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แต่ก็ปรากฏข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมว่าผู้ตายก็เป็นฝ่ายขับรถจักรยานยนต์โดยความประมาทด้วยและข้อเท็จจริงได้ความว่าสาเหตุที่รถเฉี่ยวชนกันนั้นเป็นเพราะผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงแล้วเสียหลักล้มคว่ำไถลเข้าไปในช่องเดินรถของจำเลย ผู้ตายจึงเป็นผู้ก่อให้เกิดการกระทำผิดด้วย กรณีมีเหตุอันควรปรานีรอการลงโทษให้แก่จำเลย
พิพากษายืน