คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 571/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อสหภาพแรงงานนัดหยุดงานโดยชอบแล้ว การที่ลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานที่มิได้ร่วมหยุดงานในตอนแรกออกมาร่วมนัดหยุดงานในภายหลัง ย่อมเป็นการนัดหยุดงานโดยชอบ และไม่จำต้องแจ้งความประสงค์ขอนัดหยุดงานตามนัยแห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯมาตรา 34 วรรคท้ายอีก กรณีดังกล่าวนั้นการที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งสมทบนัดหยุดงานในภายหลังโดยอ้างเหตุว่าลูกจ้างละทิ้งหน้าที่การงาน จึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯมาตรา 121

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าสหภาพแรงงานส่งเสริมสิ่งทอไทยยื่นข้อเรียกร้องต่อบริษัทโรงงานส่งเสริมอุตสาหกรรมไทย จำกัด แต่ตกลงกันไม่ได้สหภาพแรงงานฯ จึงยื่นหนังสือขอนัดหยุดงานและมีการนัดหยุดงาน โจทก์ทุกคนได้เข้าร่วมนัดหยุดงานเพราะโจทก์เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานฯต่อมามีการตกลงกันได้และพนักงานทุกคนกลับเข้าทำงาน จำเลยที่ 15เลิกจ้างโจทก์อ้างว่าละทิ้งหน้าที่ขาดงานเกินกว่าสามวันทำงานติดต่อกัน โจทก์ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์วินิจฉัยว่า โจทก์ขาดงานเกินกว่าสามวัน การเลิกจ้างไม่ใช่เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม การที่บริษัทจำเลยที่ 15 เลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวเป็นการไม่ชอบและโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ และมีคำสั่งให้บริษัทโรงงานส่งเสริมอุตสาหกรรม จำกัด รับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิมและจ่ายค่าจ้างตั้งแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันที่โจทก์กลับเข้าทำงาน และจ่ายค่าเสียหาย ค่าบอกกล่าวล่วงหน้าค่าชดเชย ค่าจ้างค้างจ่าย แก่โจทก์
จำเลยที่ 1-14 ให้การว่าคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชอบแล้ว โจทก์ทุกคนละทิ้งหน้าที่การงานเกินกว่า 3 วันโดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ 15 ซึ่งเป็นนายจ้างทราบ และจำเลยที่ 15 ให้การว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ทุกคนกระทำการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ละทิ้งหน้าที่การงานตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(4) คำวินิจฉัยของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชอบแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “โจทก์ทั้ง 7 คนอุทธรณ์ว่าเมื่อการยื่นข้อเรียกร้องในนามของสหภาพแรงงานถือได้ว่าสหภาพแรงงานเป็นตัวแทนลูกจ้าง การแจ้งการนัดหยุดงานย่อมเป็นหน้าที่ของสหภาพแรงงานทั้งสิ้น เมื่อสหภาพแรงงานที่โจทก์ทั้งหมดเป็นสมาชิกอยู่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายครบถ้วนแล้วโจทก์จึงไม่ต้องแจ้งต่อจำเลยที่ 15 อีก ทั้งความหมายของคำว่าการนัดหยุดงานที่ว่า “หมายความว่า การที่ลูกจ้างร่วมกันไม่ทำงานชั่วคราวเนื่องจากข้อพิพาทแรงงาน” นั้น คำว่าร่วมหาจำต้องกระทำพร้อมกันไม่ การที่โจทก์ออกมาร่วมนัดหยุดงานทีหลังก็ถือว่าได้ร่วมนัดหยุดงานกับสหภาพแรงงานที่โจทก์เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ลำดับขั้นตอนที่จะนำไปสู่การนัดหยุดงานได้โดยชอบตามมาตรา 22 วรรคท้ายจะต้องเริ่มจากการที่นายจ้างลูกจ้างแจ้งข้อเรียกร้องต่ออีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้มีการกำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเสียก่อน แต่การแจ้งข้อเรียกร้องดังกล่าว นายจ้างลูกจ้างหาจำต้องกระทำด้วยตนเองเสมอไปไม่อาจจะให้สมาคมนายจ้าง หรือสหภาพแรงงาน ดำเนินการแทนนายจ้างหรือลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกได้ ในกรณีที่สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานดำเนินการแทน นายจ้างหรือลูกจ้างก็มิจำต้องแจ้งข้อเรียกร้องด้วยตนเองอีกชั้นหนึ่ง จะเห็นได้จากความในมาตรา 15วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่สหภาพแรงงานเป็นผู้แจ้งข้อเรียกร้อง ข้อเรียกร้องนั้นไม่จำต้องมีรายชื่อและลายมือชื่อลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง” ในกรณีที่สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานดำเนินการแทนนายจ้างหรือลูกจ้างที่เป็นสมาชิก สมาคมนายจ้างหรือสหภาพแรงงานย่อมมีอำนาจดำเนินการตามขั้นตอนแทนนายจ้างหรือลูกจ้างผู้เป็นสมาชิกต่อไปตามมาตรา 21, 22 และมาตรา 34 วรรคท้าย หลังจากนั้นนายจ้างผู้เป็นสมาชิกของสมาคมนายจ้างหรือลูกจ้างผู้เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานก็สามารถปิดงานหรือนัดหยุดงานได้โดยชอบ และการนัดหยุดงานก็หาจำเป็นจะต้องเข้าสมทบหยุดงานพร้อมกันเฉพาะในวันเริ่มแรกไม่ ดังจะเห็นได้จากมาตรา 99 ซึ่งบัญญัติว่า “เมื่อสหภาพแรงงานปฏิบัติการดังต่อไปนี้เพื่อประโยชน์ของสมาชิกอันมิใช่เป็นกิจการเกี่ยวกับการเมืองให้ลูกจ้าง สหภาพแรงงาน กรรมการ อนุกรรมการ และเจ้าหน้าที่ของสหภาพแรงงานได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกกล่าวหาหรือฟ้องร้องทางอาญาหรือทางแพ่ง
(2) นัดหยุดงานหรือช่วยเหลือ ชักชวนหรือสนับสนุนให้สมาชิกนัดหยุดงานฯลฯ
ทั้งนี้ เว้นแต่เป็นความผิดทางอาญาในลักษณะความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน เกี่ยวกับชีวิตและร่างกายเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง เกี่ยวกับทรัพย์ และความผิดในทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดทางอาญาในลักษณะดังกล่าว” ความในมาตรา 99 นี้ เป็นการสอดคล้องกับการนัดหยุดงานที่ดำเนินการกันโดยทั่ว ๆ ไป ซึ่งอนุญาตให้มีการชักชวนสนับสนุนลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานแต่ยังมิได้ร่วมหยุดงานในตอนแรกให้เข้าร่วมในการนัดหยุดงานเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นกำลังในการต่อรองกับนายจ้างการชักชวนดังกล่าวหากได้กระทำโดยสันติ มิได้ใช้กำลัง หรือข่มขู่หรือทำร้ายลูกจ้างหรือคนในครอบครัวของลูกจ้างหรือทำให้ทรัพย์สินของลูกจ้างเสียหาย หรือขู่เข็ญว่าจะกระทำการดังกล่าว เพื่อให้ลูกจ้างเข้าร่วมในการนัดหยุดงาน หรือคอยขัดขวางมิให้ลูกจ้างที่ไม่ยอมร่วมนัดหยุดงานเข้าทำงาน อันเป็นการกระทำความผิดทางอาญาแล้ว สามารถกระทำได้โดยชอบ ด้วยวิธีการเช่นนี้ ย่อมจะมีลูกจ้างซึ่งมิได้ร่วมหยุดงานในตอนเริ่มแรกเข้ามาร่วมหยุดงานเพิ่มขึ้นเป็นระยะ ๆ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำโดยชอบตามหลักกฎหมายดังอ้างถึงมาแล้ว เช่นนี้จึงถือได้ว่า การที่สมาชิกสหภาพแรงงานออกมาร่วมนัดหยุดงานภายหลังจากที่สหภาพแรงงานได้นัดหยุดงานไปแล้วเป็นการนัดหยุดงานโดยชอบตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 5 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้แจ้งความประสงค์ขอนัดหยุดงานตามนัยแห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 34 วรรคท้าย จึงมิใช่เป็นการนัดหยุดงานตามความในมาตรา 5ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
สำหรับประเด็นข้อ 2 นั้น เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่สหภาพแรงงานที่โจทก์เป็นสมาชิกอยู่ได้แจ้งการนัดหยุดงานตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 34 วรรคท้ายเป็นการแจ้งการนัดหยุดงานแทนสมาชิกด้วย สมาชิกสหภาพแรงงานที่มาสมทบหยุดงานในภายหลังจึงไม่ต้องแจ้งการนัดหยุดงานอีก
ด้วยเหตุดังได้วินิจฉัยมา การที่โจทก์ทั้ง 7 คนออกมาร่วมนัดหยุดงานภายหลังจากที่สหภาพแรงงานได้นัดหยุดงานไปแล้วย่อมเป็นการนัดหยุดงานโดยชอบ การที่จำเลยที่ 15 เลิกจ้างโจทก์ทั้ง 7 คนจึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 121 คำสั่งที่ 40-44/2530 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม2530 ของจำเลยที่ 1 ถึง 14 จึงไม่ชอบ ให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวแต่เนื่องจากโจทก์มีคำขอให้จำเลยที่ 15 รับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิมและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างตั้งแต่วันเลิกจ้างถึงวันที่รับกลับเข้าทำงานหรือให้จ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างค้างจ่าย ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายเนื่องจากถูกเลิกจ้างซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลแรงงานกลางที่จะสั่ง ดุลพินิจดังกล่าวเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยได้ จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาประเด็นตามที่กล่าวข้างต้นใหม่ แล้วมีคำพิพากษาชี้ขาดไปตามรูปคดี”

Share