แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เงินกองกลางของกรมตำรวจอันเป็นเงินที่ได้มาจากการบริจาคของข้าราชการกรมตำรวจและประการอื่นนั้นแม้มิใช่เงินงบประมาณแผ่นดินก็นับว่าเป็นทรัพย์สินของกรมตำรวจเมื่อมีผู้ทำละเมิดเอาเงินกองกลางไป กรมตำรวจจึงมีอำนาจฟ้องผู้ทำละเมิดได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าพันตำรวจตรีชุบ ชาญกล ได้ยักยอกเงินกองกลางอันเป็นเงินทางราชการของกรมตำรวจไป 371,824.13 บาท พันตำรวจตรีชุบตายไปแล้ว จำเลยที่ 1 เป็นภริยา จำเลยที่ 2 ถึง 6 เป็นบุตรเป็นทายาทผู้รับมรดก จึงต้องรับผิด ขอให้จำเลยทั้ง 6 คนใช้เงินจำนวนนี้
จำเลยที่ 6 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2-3 ต่อสู้ว่ามิใช่บุตรของพันตำรวจตรีชุบ จำเลยยื่นรับว่าเป็นทายาทตามฟ้อง แต่ต่อสู้ว่าพันตำรวจตรีชุบมิได้ยักยอกเงินตามฟ้อง หากต้องรับผิดจำเลยร่วมต้องรับผิดด้วย จึงขอให้เรียกจำเลยร่วม 4 คนเข้ามาเป็นจำเลยในคดีนี้ด้วย
จำเลยร่วมให้การปฏิเสธความรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 4, 5 และ 6 ใช้เงิน 311,824.13 บาท ให้โจทก์ยกฟ้องจำเลยที่ 2-3 และจำเลยร่วมทั้ง 4
โจทก์และจำเลยที่ 1, 4 และ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะยอดเงินที่จำเลยที่ 1, 4, 5 ต้องรับผิดโดยให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามฟ้อง
จำเลยที่ 1, 4 และ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลอุทธรณ์ และเห็นว่าจำเลยร่วมทุกคนมิได้ร่วมกับพันตำรวจตรีชุบทำละเมิดเอาเงินตามฟ้องไปจึงไม่ต้องร่วมรับผิดในเงินจำนวนนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 กับวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า แม้เงินกองกลางรายนี้มิใช่เงินงบประมาณแผ่นดิน แต่ก็เป็นเงินที่กรมตำรวจได้มาจากการบริจาคของข้าราชการกรมตำรวจและประการอื่น นับว่าเป็นทรัพย์สินของกรมตำรวจเมื่อพันตำรวจตรีชุบทำละเมิดเอาเงินกองกลางรายนี้ไป กรมตำรวจซึ่งเป็นนิติบุคคลก็มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้
พิพากษายืน