คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5709/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอผ่อนผันแจ้งการครอบครองเพื่อขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ต่อที่ดินอำเภอในที่พิพาทต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งนายอำเภอ ที่ดินอำเภอ และปลัดอำเภอตามลำดับเป็นผู้รับผิดชอบและมีอำนาจออกเอกสารใบจอง หนังสือรับรองการทำประโยชน์และทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินในเขตอำนาจ ย่อมทราบดีว่าที่ดินแปลงใดเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือไม่ ได้ร่วมกันดำเนินการจัดสรรออกใบจอง และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่พิพาทให้จำเลยที่ 4 กับทำนิติกรรมโอนขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 4 กับที่ 6ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยโดยไม่จำต้องฟังผลคำพิพากษาอีกคดีหนึ่งว่าใครเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท
ปัญหาว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ ศาลได้มีคำพิพากษาในประเด็นข้อนี้แล้วว่าไม่เป็นฟ้องซ้อน ปัญหาข้อนี้จึงยุติ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ 4 บางส่วนได้ออกทับที่ดินของโจทก์ เป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์คลาดเคลื่อนอันกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ในส่วนที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งสามารถแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ โจทก์จะขอให้เพิกถอนทั้งหมดหาได้ไม่
ปัญหาว่า ที่พิพาทคดีนี้เป็นคนละแปลงกับที่ดินซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นที่ของโจทก์ในอีกคดีหนึ่งนั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๑๓ จำเลยที่ ๑ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายอำเภอสูงเนินได้ออกประกาศให้มีการจับจองที่ดินของโจทก์ซึ่งมิใช่ที่รกร้างว่างเปล่า และโจทก์ได้ครอบครองเกินกว่า๑๐ ปีแล้ว และอยู่ระหว่างการที่โจทก์ขอผ่อนผันแจ้งการครอบครองวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๑๓ จำเลยที่ ๔ ยื่นเรื่องราวขอจับจองที่ดินต่อจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นพนักงานที่ดินอำเภอโดยรวมเอาที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ ๗ ไร่ เข้าไปด้วย จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นปลัดอำเภอสูงเนิน ได้ออกประกาศจับจองที่ดินของจำเลยที่ ๔ ทั้งนี้จำเลยทั้งสี่ดังกล่าวได้ร่วมกันโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ จำเลยที่ ๑ ออกใบจองให้จำเลยที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๔เมษายน ๒๕๑๓ ต่อมาวันที่ ๒๗ เดือนเดียวกัน จำเลยที่ ๔ ได้ยื่นคำขอรับรองการทำประโยชน์และจำเลยที่ ๓ ได้ออกประกาศตามคำขอในวันเดียวกัน และในวันดังกล่าวจำเลยที่ ๖ โดยจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นผู้จัดการได้ยื่นขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทขายที่ดินตามใบจองที่ขอรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ ๔ ต่อจำเลยที่ ๑ โดยผ่านจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๓ ออกประกาศขายในวันนั้น จำเลยที่ ๓ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยที่ ๔เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๑๓ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๔ ทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ ๖ โดยจำเลยที่ ๓ เป็นผู้จัดทำสัญญาและรับจดทะเบียนให้ ขอให้พิพากษาว่า ใบจองเล่ม ๑ หน้า ๑๙๕หนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๙๗๘ หนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๕ ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ ๖ เป็นโมฆะ และสั่งเพิกถอนใบจอง หนังสือรับรองการทำประโยชน์กับหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินเสีย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖ ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ดินรกร้างว่าเปล่า ไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ทางราชการจัดสรรให้ประชาชน จำเลยที่ ๔ ขอจับจองและทำประโยชน์ทางราชการจัดสรรให้ประชาชน จำเลยที่ ๔ ขอจับจองและทำประโยชน์ทางราชการจึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ การกระทำของจำเลยทั้งหกในการขอจับจองที่ดิน การดำเนินการตามคำขอ การออกใบจองการขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การทำสัญญาซื้อขาย การดำเนินการตามคำขอและการจดทะเบียน ได้ทำตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ จำเลยที่ ๔ ได้ครอบครองที่ดินพิพาทเกินกว่า ๑ ปีฟ้องโจทก์ขาดอายุความ จำเลยที่ ๕ ที่ ๖ ซื้อจากจำเลยที่ ๔ โดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและจดทะเบียนโดยสุจริตโจทก์จำเลยกำลังพิพากษาเกี่ยวกับที่ดินตามฟ้องตามคดีหมายเลขดำที่ ๒๘๒/๒๕๑๔ ของศาลชั้นต้น จึงเป็นฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๓ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๑๗๓(๑) พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่๒๘๒/๒๕๑๔ ของศาลชั้นต้น พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอนใบจองเล่ม ๑ หน้า ๑๙๕หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๙๗๘ เฉพาะส่วนที่อยู่ในพื้นที่สีชมพูตามแผนที่พิพาท เนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ ๑ งาน ๗๕ ตารางวา และเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนระหว่างจำเลยที่ ๔ และที่ ๖ เฉพาะส่วนนี้
โจทก์และจำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนใบจองเล่ม ๑ หน้า ๑๙๕หนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๙๗๘ และนิติกรรมการจดทะเบียนระหว่างจำเลยที่ ๔ และที่ ๖ ทั้งหมด
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อแรกโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เคยดำรงตำแหน่งนายอำเภอสูงเนินที่ดินอำเภอสูงเนินและปลัดอำเภอสูงเนินตามลำดับ เป็นผู้รับผิดชอบและมีอำนาจออกเอกสารใบจอง หนังสือรับรองการทำประโยชน์และทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินในเขตอำเภอสูงเนิน ย่อมทราบดีว่าที่ดินแปลงใดเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ที่ดินแปลงใดมีการครอบครองจนได้สิทธิครอบครองแล้ว โจทก์เคยถูกเจ้าพนักงานป่าไม้จับกุมฐานแผ้วถางป่า ศาลฎีกาพิพากษาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ ว่า ที่ดินเป็นของโจทก์ในปีเดียวกันนั้นโจทก์ยื่นคำร้องขอผ่อนผันแจ้งการครอบครองเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ต่อที่ดินอำเภอในที่พิพาท จำเลยที่ ๖คัดค้าน โจทก์ฟ้องฟ้องจำเลยที่ ๖ กับพวก ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๘๒/๒๕๑๕ ของศาลชั้นต้น ต่อมาจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันดำเนินการจัดสรร ออกใบจอง และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่พิพาทให้จำเลยที่ ๔ กับทำนิติกรรมโอนขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๔กับที่ ๖ อันถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งหกได้โดยไม่จำต้องฟังผลคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๘๒/๒๕๑๕ ของศาลชั้นต้นว่าใครเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท
ที่จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๘๒/๒๕๑๔ ของศาลชั้นต้นว่าใครเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท
ที่จำเลยที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๘๒/๒๕๑๔ ของศาลชั้นต้นนั้น ปัญหานี้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๑/๒๕๒๒ แล้วว่าฟ้องโจทก์คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๘๒/๒๕๑๔ ของศาลชั้นต้นอันเป็นปัญหาที่ยุติแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอีก
ปัญหาว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๙๗๘ ตามฟ้องออกทับที่ดินของโจทก์หรือไม่เพียงใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับดังกล่าวได้ออกทับที่ดินของโจทก์อันเป็นที่พิพาทในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๘๒/๒๕๑๔ ของศาลชั้นต้น ประมาณ๔-๒-๗๐ ไร่ ฉะนั้น การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๙๗๘จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาต่อไปมีว่าควรจะเพิกถอนโดยการแก้ไขเฉพาะส่วนที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ตามที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ฎีกาหรือไม่เห็นว่ากรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่า เป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์คลาดเคลื่อนอันกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ในส่วนที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งสามารถทำการแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ โจทก์ไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนใบจองและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งฉบับ
ที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ฎีกาว่า ที่พิพาทในคดีนี้เป็นคนละแปลงกับที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นของโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่๒๘๒/๒๕๑๔ ของศาลชั้นต้น เห็นว่า ปัญหานี้มิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนใบจองเล่ม ๑ หน้า ๑๙๕ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๙๗๘ เฉพาะส่วนที่ทับกันเนื้อที่ประมาณ๔-๒-๗๐ ไร่ และนิติกรรมการจดทะเบียนระหว่างจำเลยที่ ๔ กับจำเลยที่ ๖ เฉพาะส่วนนี้นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share