แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สภาพของห้องเป็นพยานสำคัญว่า ใช้เป็นเคหะหรือไม่ศาลเผชิญสืบแล้ว จำเลยขอสืบพยานบุคคลว่า ตามสภาพเป็นการเช่าเพื่ออยู่อาศัยนั้นเป็นแต่ความเห็น ศาลมีอำนาจงดเสียได้
ย่อยาว
โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 31 เดือนธันวาคมพุทธศักราช 2497 ได้ความว่า เมื่อประมาณ 12 ปีมานี้ จำเลยเช่าห้องพิพาทตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด อยู่เรื่องมาโดยไม่มีกำหนดเวลาและไม่ได้ทำหนังสือสัญญา พ.ศ.2493 โจทก์รับโอนมาจากเจ้าของเดิม ส่วนจำเลยก็คงได้เช่าอยู่สืบต่อมา
โจทก์ยื่นคำฟ้องว่า จำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อทำการค้า ค่าเช่าเดือนละ 14 บาท บัดนี้โจทก์บอกเลิกสัญญาให้จำเลยออกไปจำเลยก็ไม่ยอมออก ขอให้ขับไล่และใช้ค่าเสียหายเดือนละ 14 บาท นับแต่ฟ้องไปจนกว่าจะออก
จำเลยให้การต่อสู้ว่า เช่าเพื่ออยู่อาศัย มิได้เช่าเพื่อการค้าได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันและเสียค่าเช่าเดือนละ 70 บาท แต่โจทก์ออกใบรับเพียง 14 บาทเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเงินได้ ตอนหลังโจทก์จะเพิ่มค่าเช่าขึ้นไปอีกและเรียกค่ากินเปล่าอีกมากมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลจังหวัดร้อยเอ็ดเห็นว่า ประเด็นค่าเสียหายเมื่อจำเลยรับว่าเคยเสียค่าเช่ามากกว่าที่โจทก์เรียกเป็นค่าเสียหายแล้วก็เป็นอันยุติส่วนประเด็นที่จำเลยควรได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันหรือไม่นั้น ตกหน้าที่จำเลยนำสืบก่อน แต่ข้อนี้เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ตัดปัญหา โจทก์ขอเผชิญศาลไปตรวจห้องพิพาทปรากฏว่าห้องตั้งอยู่ริมถนนสุริยเดชบำรุง ร้านข้างเคียงกับห้องนี้และร้านฝั่งตรงกันข้ามยาวไปตามถนนเป็นร้านค้าทั้งนั้น และห้องนี้อยู่ห่างตลาดสดเพียง 10 เมตร นับว่าอยู่ในทำเลการค้าภายในห้องพิพาทมีสินค้าเครื่องชำและของเบ็ดเตล็ดอยู่ในร้านริมฝาทั้งสองด้านและตรงกลางห้อง สินค้ากินเนื้อที่จากหน้าห้องลึกเข้าไป 9 เมตร หรือราว 2 ใน 3 ของความยาว จำเลยคงใช้ตอนในที่เหลืออีก 5 เมตร เป็นห้องนอนและครัว จำเลยจดทะเบียนการค้าใช้ชื่อว่า”โค้วเซี่ยงฮวด”
ดังนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่ต้องสืบพยานต่อไป ฟังว่า จำเลยเช่าเพื่อเจตนาทำการค้าขาย การเข้าอยู่ก็เพียงอยู่เพื่อประกอบกิจการค้าของจำเลยเท่านั้น ห้องพิพาทจึงมิใช่เคหะอันควรได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร และใช้ค่าเสียหายให้โจทก์อีกเดือนละ 14 บาทตามฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การจะวินิจฉัยว่าจำเลยเช่าห้องพิพาทในคดีนี้เพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อประกอบการค้านั้น สมควรฟังพยานหลักฐานตามที่คู่ความจะนำสืบก่อน ไม่เห็นพ้องด้วยศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยานและวินิจฉัยว่า จำเลยเช่าห้องเพื่อประกอบการค้า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานแล้ววินิจฉัยใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามรูปคดีในเรื่องนี้สภาพของห้องเป็นพยานสำคัญอยู่ในตัวของมัน ศาลได้ไปเผชิญตรวจสถานที่ตามคำร้องของโจทก์ที่ระบุอ้างเป็นพยานไว้ ถือได้ว่าศาลได้ทำการสืบพยานแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87, 88 ส่วนข้อที่จำเลยขอนำสืบพยานบุคคลต่อไป เพื่อแสดงว่าตามพฤติการณ์และสภาพของห้องอย่างนี้ เป็นการเช่าเพื่ออยู่อาศัย การค้าเป็นเพียงส่วนประกอบลำไพ่นั้นเป็นเรื่องแสดงความเห็นหรือความในใจของพยานเท่านั้น ไม่มีความสำคัญจะให้วินิจฉัยเป็นอย่างอื่น เพราะตามที่ปรากฏต่อศาลเป็นเรื่องชัดแจ้งปราศจากข้อเคลือบแคลงอยู่ในตัวแล้วสถานที่อยู่ในทำเลการค้า และประกอบการค้าเป็นส่วนสำคัญ การที่จำเลยและครอบครัวเข้าหลับนอนหุงต้มอยู่ทางตอนหลังห้องด้วยนั้นก็อยู่เพื่อประกอบการค้าจึงไม่จำเป็นต้องฟังพยานบุคคลต่อไป ที่ศาลชั้นต้นงดพยานอื่นเสีย เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่รัดกุมชอบด้วยเหตุผล และมีอำนาจเต็มทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 และ 86 ห้องเช่าอย่างนี้ไม่นับเป็นเคหะที่จะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
เหตุนี้จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าธรรมเนียม ค่าทนาย 75 บาท รวม 3 ศาลแก่โจทก์