คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5700/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้กฎหมายจะมิได้กำหนดว่า ในการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะต้องชี้บ่งเป็นข้อความอย่างใดก็ตามแต่ก็จะต้องมีข้อความโต้แย้งคัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินว่า ประเมินภาษีไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างใด มีหลักฐานการชำระภาษีอย่างไร คำอุทธรณ์ของโจทก์ที่ยื่นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีข้อความว่าโจทก์ได้ยื่นแบบชำระภาษีโดยตลอดและถูกต้องไม่เคยหลีกเลี่ยงแต่อย่างใด จึงไม่ทราบว่าเจ้าพนักงานประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าจากโจทก์ในกรณีใดโจทก์เข้าใจว่าโจทก์ได้เสียภาษีไว้ถูกต้องแล้ว และเมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์โจทก์ไม่มีโอกาสแสดงเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องโจทก์เสียเปรียบอย่างมาก โจทก์ยินยอมที่จะชำระภาษีตามการประเมินโดยไม่โต้แย้งเพียงแต่ขอให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชี้ขาดงดการเรียกเก็บเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหรือหากไม่สามารถงดได้ก็ขอให้ลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มในอัตราสูงสุดด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวมิได้กล่าวอ้างว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ถูกต้องอย่างไรในประเด็นภาษีการค้าเดือนมีนาคมและเมษายน 2532 เพราะเหตุใด และโจทก์มีหลักฐานใดแสดงการเสียภาษีที่ถูกต้อง ที่โจทก์ อ้างว่าไม่มีโอกาสแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องทำให้เสียเปรียบ อย่างมาก ก็ไม่มีข้อความใดบ่งชี้ให้เห็นหรือเข้าใจได้ว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งการคำนวณหักค่าใช้จ่ายเหมาในอัตราร้อยละ 75 ของเงินได้พึงประเมินแต่เป็นอุทธรณ์ที่ขอให้คณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มที่เรียกเก็บจากโจทก์เท่านั้นมิได้ขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนการประเมินภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เมื่อโจทก์ไม่ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในประเด็นการยื่นแบบภาษีการค้าเดือนมีนาคมและเมษายน 2532 และประเด็นการคำนวณหักค่าใช้จ่าย ในอัตราร้อยละ 75 ของเงินได้พึงประเมิน โจทก์จึงไม่มีอำนาจ ฟ้องในประเด็นดังกล่าว อุทธรณ์ของโจทก์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ในการตรวจสอบภาษีโจทก์ เจ้าพนักงานผู้ตรวจสอบมีหมายเรียกให้โจทก์ไปพบและนำเอกสารหลักฐานการประกอบการลงบัญชีส่งมอบให้แก่เจ้าพนักงานโจทก์ขอผัดผ่อนแต่ไม่ไปพบจนถูกดำเนินคดีอาญาฐานไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกแสดงให้เห็นว่า โจทก์มิได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบของจำเลย เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยต้องใช้วิธีประเมินไปตามเอกสารเท่าที่ตรวจสอบขอคัดมาได้ กรณีจึงไม่มีเหตุอันควรผ่อนผันงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีของจำเลยมีหนังสือถึงโจทก์แจ้งว่าโจทก์หักค่าใช้จ่ายไว้ไม่ถูกต้องในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2532 (ภงด.90) จึงคิดหักค่าใช้จ่ายวิธีเหมาในอัตราร้อยละ 75 ของเงินได้พึงประเมิน และประเมินภาษีเงินได้พึงประเมิน และประเมินภาษีเงินได้ประจำปี 2532 (ครึ่งปี)ของโจทก์เป็นภาษีที่ยังขาดชำระจำนวน 137,040 บาท เบี้ยปรับจำนวน466,020 บาท เงินเพิ่มจำนวน 90,446.40 บาท รวมเป็นภาษีที่ต้องชำระเพิ่ม 693,506 บาท ประเมินภาษีเงินได้ประจำปีภาษี 2532ของโจทก์ เป็นภาษีที่ยังขาดชำระจำนวน 711,091 บาท เบี้ยปรับจำนวน711,091 บาท เงินเพิ่มจำนวน 405,321.87 บาท รวมเป็นภาษีที่ค้างชำระ1,827,503 บาท ประเมินภาษีการค้า เงินเพิ่มภาษีการค้าและเบี้ยปรับรวมเป็นเงิน 105,280 บาท โดยอ้างว่าโจทก์มิได้ยื่นแบบ ภ.ค.40ประจำเดือนมีนาคม 2532 และยื่นเสียภาษีการค้าเดือนเมษายน 2532ไม่ครบ รวมเป็นภาษีทุกประเภทที่โจทก์ต้องชำระทั้งสิ้นเป็นเงิน2,626,289 บาท โจทก์อุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำสั่งยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์เห็นว่าการที่เจ้าพนักงานประเมินภาษีของจำเลยประเมินภาษีโดยมิได้หักค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริงจากรายได้พึงประเมิน แต่กลับคิดหักค่าใช้จ่ายโดยวิธีเหมาจ่ายอัตราร้อยละ 75 โดยมิได้มีกฎหมายกำหนด ทั้งมิได้ตรวจสอบถึงความถูกต้องว่าโจทก์ได้ยื่น ภ.ค.40 ของเดือนมีนาคม 2532 และยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีการค้าเดือนเมษายน 2532 แล้วจึงเป็นการประเมินภาษีโดยไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยให้การว่า ประเด็นแห่งคำฟ้องของโจทก์กับประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นคนละประเด็นกัน และประเด็นแห่งคำฟ้องยังไม่ได้รับการวินิจฉัยจากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฟ้องของโจทก์จึงไม่ต้องด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 30 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คดีนี้เจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกเพื่อทำการตรวจสอบภาษีอากรสำหรับปี 2532 รายโจทก์กรณีมีเงินได้จากการรับจ้างทำของได้ยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.90 โดยขอหักค่าใช้จ่ายจริงตามความจำเป็นและสมควร แต่ไม่แสดงรายละเอียดค่าใช้จ่ายและมิได้ยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.94 ผลการตรวจสอบปรากฏว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เนื่องจากโจทก์ไม่ได้ส่งมอบบัญชีเอกสารหลักฐานให้เจ้าพนักงานตรวจสอบ เจ้าพนักงานจึงเปรียบเทียบรายรับตาม ภ.ค.40 กับรายได้ตามหลักฐานหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่บริษัทผู้ว่าจ้างออกให้แก่โจทก์ พบว่าโจทก์ก็มีเงินได้จากการรับจ้างทำของตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง มิถุนายน 2532 เป็นเงิน 4,085,100 บาท ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง ธันวาคม 2532 เป็นเงิน 12,175,600 บาท ในส่วนค่าใช้จ่ายจากแบบ ภ.ง.ด.90 โจทก์มีรายได้จากการรับจ้างทำของซึ่งจัดเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร จึงหักค่าใช้จ่ายให้ในอัตราร้อยละ 75 ของเงินได้พึงประเมินทั้งนี้โดยอาศัยมติ กพอ.ครั้งที่ 11/2522 วันที่ 10 เมษายน 2522 (ระเบียบวาระที่ 3) ข้อ 2.2กรณีเงินได้ที่พระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 ไม่ได้กำหนดค่าใช้จ่ายไว้เป็นการเหมาและไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ค่าใช้จ่ายจริงได้เป็นค่าใช้จ่ายประจำปีภาษี 2532 (ครึ่งปี) เป็นเงิน3,063,825 บาท และค่าใช้จ่ายประจำปีภาษี 2532 เป็นเงิน9,131,700 บาท เนื่องจากไม่ทราบสถานะทางครอบครัวของโจทก์จึงหักค่าลดหย่อนให้ในฐานะคนโสด จากการตรวจสอบดังกล่าวข้างต้นเจ้าพนักงานจึงประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาพร้อมเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม จากโจทก์
กรณีภาษีการค้า เจ้าพนักงานตรวจพบว่าโจทก์มีรายรับจากการรับจ้างทำของเป็นเงิน 12,175,600 บาท แต่โจทก์ยื่นรายการเสียภาษีการค้าไว้ต่ำไปเป็นเงิน 854,000 บาท โดยในเดือนมีนาคม 2532โจทก์ไม่ได้นำรายรับจำนวน 842,000 บาท ยื่นรายการเสียภาษีการค้าไว้แล้ว และในเดือนเมษายน 2532 โจทก์ยื่นรายการเสียภาษีการค้าต่ำไปเป็นเงิน 12,000 บาท เจ้าพนักงานจึงประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าเพิ่มเติมจากโจทก์รวมเป็นเงิน 105,280 บาท การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์อ้างว่าตามอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไว้แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเพราะตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ยื่นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 20 ข้อ 2.4 และข้อ 2.5 มีข้อความว่าโจทก์ได้ยื่นแบบชำระภาษีโดยตลอดและถูกต้องไม่เคยหลีกเลี่ยงแต่อย่างใด จึงไม่ทราบว่าเจ้าพนักงานได้ประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าจากโจทก์ในกรณีใด และโจทก์เข้าใจว่าโจทก์ได้เสียภาษีไว้ถูกต้องแล้วอย่างไรก็ดีเมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ดังกล่าวโจทก์ไม่มีโอกาสแสดงเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวโจทก์เสียเปรียบอย่างมาก ข้อความดังกล่าวเป็นการโต้แย้งการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยแล้วนั้นเห็นว่า ตามอุทธรณ์ของโจทก์เอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 20 ข้อ 2.4และข้อ 2.5 โจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยในประเด็นภาษีการค้าเดือนมีนาคมและเดือนเมษายน 2532เป็นการไม่ถูกต้องอย่างไรเพราะเหตุใด และโจทก์มีหลักฐานใดแสดงการเสียภาษีการค้าที่ถูกต้องและการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวโจทก์ไม่มีโอกาสแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องทำให้โจทก์เสียเปรียบอย่างมากนั้นก็มิได้มีข้อความใดบ่งชี้ให้เห็นหรือเข้าใจได้ว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งการคำนวณหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในอัตราร้อยละ 75ของเงินได้พึงประเมินแม้กฎหมายจะมิได้กำหนดว่าในการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะต้องชี้บ่งเป็นข้อความอย่างใดก็ตามแต่ก็จะต้องมีข้อความโต้แย้งคัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินว่าประเมินภาษีไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างใด โจทก์มีหลักฐานการชำระภาษีอย่างไร นอกจากนี้ในอุทธรณ์การประเมินของโจทก์โจทก์แสดงความจำนงยินยอมที่จะชำระภาษีตามการประเมินโดยไม่โต้แย้งเพียงแต่ขอให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชี้ขาด งดการเรียกเก็บเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหรือหากไม่สามารถงดได้ก็ขอความกรุณาลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มในอัตราสูงสุดด้วย อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ที่ขอให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยชี้ขาดให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มที่เรียกเก็บจากโจทก์เท่านั้น โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้พิจารณายกเลิกการประเมินหรือเพิกถอนการประเมินภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแต่อย่างใดเมื่อโจทก์ไม่ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในประเด็นการคำนวณหักค่าใช้จ่ายในอัตราร้อยละ 75 ของเงินได้พึงประเมินและในประเด็นการยื่นแบบภาษีการค้าเดือนมีนาคมและเดือนเมษายน 2532โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในประเด็นดังกล่าว เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องในประเด็นเกี่ยวกับการคำนวณหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในอัตราร้อยละ 75 ของเงินได้พึงประเมินของโจทก์ รวมทั้งประเด็นที่ว่าโจทก์ยื่นแบบ ภ.ค.40 ของเดือนมีนาคม 2532 ต่อจำเลยหรือไม่และโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีการค้าเดือนเมษายน 2532ครบถ้วนหรือไม่ อุทธรณ์ของโจทก์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไปมีเพียงว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เกี่ยวกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าในการตรวจสอบภาษีเจ้าพนักงานผู้ตรวจสอบแบบแสดงรายการเสียภาษีของโจทก์มีหมายเรียกให้โจทก์ไปพบและนำเอกสารหลักฐานการประกอบการลงบัญชีส่งมอบให้แก่เจ้าพนักงาน โจทก์ก็ขอผัดผ่อนแต่ไม่ได้พบจนถูกดำเนินคดีอาญาฐานไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก แสดงให้เห็นว่าโจทก์มิได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบของจำเลยแต่อย่างใดเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยต้องใช้วิธีประเมินไปตามเอกสารเท่าที่ตรวจสอบขอคัดมาได้ กรณีจึงไม่มีเหตุอันควรผ่อนผันงดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share