คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ขายในต่างประเทศตกลงลดราคาขายรถยนต์พิพาทให้โจทก์หลังจากโจทก์สั่งซื้อแล้ว เพื่อเป็นการสนับสนุนการขายและเป็นการช่วยเหลือตลาดการขายให้มีผู้ซื้อมากขึ้น โดยคำนึงและหวังลดภาษีอากรขาเข้าให้ต่ำลง ทั้งคำนึงถึงการจำหน่ายเพื่อแข่งขันกับรถยนต์ยี่ห้ออื่นในตลาด ราคาที่ลดลงเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวโดยเฉพาะ จึงไม่ใช่ราคารถยนต์พิพาทที่แท้จริงในท้องตลาด เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าราคารถยนต์พิพาทลดลงเพราะปัจจัยอื่น ตรงข้ามกลับปรากฏว่าในระหว่างพิพาทราคาขายของรถยนต์ไม่มีการลดราคา มีแต่แนวโน้มที่จะมีราคาสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา แสดงว่าราคารถยนต์พิพาทหาได้ลดลงไม่ หากมีการลดราคาระหว่างโจทก์กับบริษัทผู้ขายในต่างประเทศก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ในทางการค้าเฉพาะเรื่องเฉพาะราย หาใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามความหมายของมาตรา 2 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ศุลกากรพ.ศ. 2469 ไม่ จำเลยถือราคารถยนต์ตามราคาที่โจทก์เคยนำเข้าก่อนรถยนต์รายพิพาทเพียง 2 เดือนเศษ และ 1 เดือนเศษ ตามลำดับซึ่งโจทก์มิได้โต้แย้งราคาดังกล่าว จึงเป็นราคาที่แท้จริงในท้องตลาดและชอบด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ศุลกากร พ.ศ. 2469แล้ว.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลสั่งรวมพิจารณา โดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่าโจทก์ที่ 1 และเรียกโจทก์ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 2
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินอากรขาเข้าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล และให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า การประเมินอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ราคารถยนต์เก๋งและรถยนต์บรรทุกรายพิพาทที่โจทก์สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเพื่อนำเข้าสินค้าดังกล่าว เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามความหมายในมาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ใช่หรือไม่ ได้ความจากนายสมพงษ์ พุ่มสวรรค์ พยานโจทก์ว่า ก่อนมีการนำเข้ารถพิพาททั้งรถยนต์เก๋งและรถยนต์บรรทุก โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ได้ไปเจรจาขอให้บริษัทนิสสันมอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่นลดราคาการขายให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ก่อนแล้วโจทก์ทั้งสองจึงได้มีใบสั่งซื้อรถทั้ง2 ประเภทจากผู้ขายในราคาใหม่ ปรากฎตามเอกสารหมาย จ. 5 และ จ. 39ตามลำดับ ซึ่งบริษัทผู้ขายก็ได้ทำหนังสือยืนยันราคาส่งมาให้โจทก์ทั้งสอง ปรากฎตามเอกสารหมาย จ. 6 และ จ. 40 ตามลำดับ จากนั้นโจทก์ทั้งสองจึงได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต ผ่านธนาคารแห่งประเทศไทยตามราคาที่ตกลงซื้อขายกัน ราคาสินค้าพิพาทที่โจทก์ทั้งสองนำเข้านี้ได้ความจากนายสมพงษ์ต่อไปว่า สำหรับรถยนต์เก๋งลดราคาจากเดิมราคาคันละ 475,336 เยน เป็น 374,304 เยน ส่วนรถยนต์บรรทุกลดราคาจากราคาเดิมคันละ 551,810 เยน เป็นราคาเฉพาะตัวรถไม่รวมประตูคันละ 436,810 เยน ซึ่งราคาดังกล่าวนายปรีชา พงษ์เพชร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการค้าของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และเป็นกรรมการบริหารด้วยอ้างว่า เป็นราคาที่ซื้อขายกันแท้จริง ข้อที่โจทก์อ้างว่าก่อนมีใบสั่งซื้อ โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ได้เจรจาขอให้ฝ่ายผู้ขายลดราคาขายให้ก่อนแล้วนั้น ได้ความจากนายเอช.ซาไก ฮิโรยูกิ ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทนิสสันมอเตอร์ประเทศญี่ปุ่น ทำหน้าที่ดูแลกิจการในประเทศไทยว่า เหตุที่บริษัทผู้ขายยอมลดราคาให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ก็เพราะค่าของเงินเยนสูงขึ้นราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง และค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรลดลง ทำให้ต้นทุนการผลิตลดทั้งนี้เกิดจากการประชุมระหว่างโจทก์ที่ 1 ที่ 2 กับบริษัทนิสสันมอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 19 ถึง 31 มกราคม 2529 ปรากฎตามเอกสารหมายล. 9 แผ่นที่ 2 แสดงว่าการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อผู้ขายเพื่อลดราคา ได้มีขึ้นหลังจากที่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ส่งใบสั่งซื้อตามเอกสารหมาย จ. 5 และ จ. 39 ไปยังบริษัทผู้ขายแล้ว การลดราคาขายรถพิพาททั้งสองประเภท จึงหาได้มีการลดราคาก่อนที่จะมีการตกลงซื้อขายดังนายสมพงษ์พยานโจทก์เบิกความไม่ หากมีก็น่าจะเป็นการตกลงกันหลังโจทก์ที่ 1 ที่ 2 สั่งซื้อแล้วมากกว่า ราคาที่บริษัทนิสสันมอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่นขายให้แม้หากจะมีการลดราคากันจริง ก็น่าจะเป็นเรื่องของการลดราคาให้เฉพาะเรื่องเฉพาะรายมากกว่า ดังที่ นายเอช. ซาไก ฮิโรยูกิ เบิกความว่า ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนการขายและเพื่อเป็นการช่วยเหลือตลาดการขายให้มีผู้ซื้อมากขึ้น โดยคำนึงและหวังลดภาษีอากรขาเข้าให้ต่ำลง ทั้งคำนึงถึงการจำหน่ายเพื่อแข่งขันกับรถยี่ห้ออื่นในตลาดประเทศไทยด้วย แสดงว่าราคาสินค้าที่โจทก์ทั้งสองนำเข้าซึ่งรถพิพาทโดยอ้างว่าบริษัทผู้ขายในประเทศญี่ปุ่นลดราคาให้นั้น เป็นการแสดงราคาที่ลดลงเพื่อจะได้เสียภาษีให้น้อยลงกว่าที่เคยเสีย อันจะเป็นผลถึงราคาจำหน่ายรถพิพาทภายในประเทศไทย ดังนั้น ราคาที่ลดแม้หากเป็นจริงก็เพียงแสดงราคาเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวโดยเฉพาะราคาที่ลดลงดังกล่าวจึงหาใช่ราคารถพิพาทที่แท้จริงในท้องตลาดไม่ หาใช่เป็นการลดราคาเพราะเงินเยนแข็งตัวไม่ เพราะปรากฎตามบันทึกรายงานผู้อำนวยการกองพิธีการและประเมินอากรของนายสมเกียรติ พิสุทธิ์เจริญพงศ์เจ้าหน้าที่ประเมินอากร 5 ว่าราคารถยนต์เก๋งพิพาทลดลง 21.25เปอร์เซ็นต์ ส่วนค่าของเงินเยนขณะนำสินค้าเข้าสูงขึ้นเพียง 15.01เปอร์เซ็นต์ และราคารถยนต์บรรทุกลดลง 20.84 เปอร์เซ็นต์ ส่วนค่าของเงินเยนขณะนำสินค้าเข้าสูงขึ้นเพียง 13.48 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแสดงว่าราคารถที่ลดกับค่าของเงินเยนที่แข็งตัวมีอัตราส่วนแตกต่างกันมาก และที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าราคารถลดลงก็เพราะมาจากเหตุน้ำมันในตลาดโลกราคาลดลง และต้นทุนการผลิตลดลงเพราะเครื่องจักรใช้งานมานานแล้ว แต่โจทก์ก็นำสืบเพียงกล่าวอ้างลอย ๆ ปราศจากหลักฐานอ้างอิง ทั้งยังได้ความจากนายวุฒิชัย พงษ์ประสิทธิ์ ผู้อำนวยการกองพิธีการและประเมินอากร พยานจำเลยว่า ที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงนั้น ไม่มีข้อมูลว่าในขณะนั้นได้ลดลงแต่อย่างใดและไม่ปรากฎว่ามีผลต่อต้นทุนการผลิตแต่อย่างใด ตรงข้ามกลับปรากฎว่าในระหว่างพิพาทราคาขายของรถยนต์ไม่มีการลดราคาคงมีแต่แนวโน้มที่จะมีราคาสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลาลักษณะเช่นนี้จึงเชื่อได้ว่าราคารถพิพาททั้งสองประเภทหาได้ลดลงดังโจทก์ทั้งสองอ้างแต่ประการใดไม่ หากจะมีการลดราคาระหว่างโจทก์ทั้งสองผู้ซื้อกับบริษัทผู้ขายในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ในทางการค้าเฉพาะเรื่องเฉพาะราย หาใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามความหมายของมาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ไม่ ดังนั้นที่จำเลยถือราคารถยนต์เก๋งและรถยนต์บรรทุกพิพาทตามราคาที่โจทก์ทั้งสองเคยนำเข้าก่อนรายพิพาทเพียง2 เดือนเศษ และ 1 เดือนเศษ ตามลำดับ ซึ่งโจทก์ทั้งสองก็ไม่ได้โต้แย้งราคาที่นำเข้าดังกล่าวแต่อย่างใด เป็นราคาที่แท้จริงในท้องตลาด ราคารถยนต์เก๋งและรถยนต์บรรทุกที่จำเลยทำการประเมินจึงชอบด้วยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 แล้ว ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share