คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีล้มละลายที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยืนยันและเรียกให้ชำระหนี้นั้น ถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ หากหนี้ซึ่งเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทมีจำนวนไม่เกิน 20,000 บาท ย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวและถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาจึงไม่อาจรับไว้พิจารณาได้.

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือถึงผู้ร้องแจ้งว่าเป็นหนี้ค่าขายลดเช็คต่อบริษัทจำเลยอยู่ 20,000 บาท ผู้ร้องปฏิเสธหนี้แล้วแต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยืนยันหนี้และแจ้งให้นำเงินดังกล่าวไปชำระ ขอให้ศาลจำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่า ผู้ร้องเป็นหนี้อยู่จริงขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องจากบัญชีลูกหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิจารณา 20,000บาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยคดีให้นั้นจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
พิพากษายกฎีกาของผู้ร้องและยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คงให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share