คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4399/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ จำเลยและ ช. เป็นหุ้นส่วนกันเพื่อขุดทรายขายแต่ห้างหุ้นส่วนไม่มีเงินสดดำเนินกิจการ โจทก์จึงให้จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อนำไปแลกเงินสด ดังนั้น มูลหนี้ตามเช็คพิพาทเกิดจากกิจการค้าขายของห้างหุ้นส่วนระหว่าง โจทก์ จำเลย และ ช. ผู้เป็นหุ้นส่วนย่อมมีส่วนได้เสียร่วมกันอยู่ในเช็คพิพาท ทั้งโจทก์ทราบฐานะของจำเลยดีอยู่แล้วว่าจำเลยไม่มีเงินในบัญชีพอที่จะนำมาชำระหนี้ตามเช็คพิพาทได้ โจทก์รับเช็คไว้โดยไม่สุจริต จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์โจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๒๒ ที่แก้ไขแล้ว ไม่รับวินิจฉัยพิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่เห็นสมควรวินิจฉัยในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ไปทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวน แล้ววินิจฉัยว่าเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ จำเลย และนายชาญณรงค์ เป็นหุ้นส่วนกันเพื่อขุดทรายขายแต่ห้างหุ้นส่วนไม่มีเงินสดดำเนินกิจการโจทก์จึงให้จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อนำไปแลกเงินสด มูลหนี้ตามเช็คพิพาททั้ง ๒ ฉบับ ตามฟ้องเกิดขึ้นจากกิจการค้าขายของห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์ จำเลย และนายชาญณรงค์โจทก์ จำเลย และนายชาญณรงค์ผู้เป็นหุ้นส่วนย่อมมีส่วนได้เสียร่วมกันอยู่ในเช็คทั้งสองฉบับนั้น ทั้งการที่โจทก์รับเช็คโดยการแลกเงินสดกับนายไพรัชนั้น แสดงว่าโจทก์ทราบฐานะของจำเลยดีอยู่แล้วว่าจำเลยไม่มีเงินในบัญชีพอที่จะนำมาชำระหนี้ตามเช็คทั้งสองฉบับได้ ย่อมเป็นการรับเช็คไว้โดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๔) จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share