คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยผิดสัญญาแลกเปลี่ยนรถยนต์ โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายคิดเป็นรายวัน ระหว่างพิจารณาโจทก์ฟ้องจำเลยอีกคดีหนึ่งเรียกราคารถดังนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์ควรจะเรียกราคารถในคดีแรกได้อยู่แล้ว จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตาม มาตรา 173 วรรคหนึ่ง(1) ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์เฟียตเก๋งหมายเลขทะเบียน ก.ท.ง.5580 จำเลยประกอบกิจการค้ารถยนต์และเป็นตัวแทนแลกเปลี่ยนรถยนต์ จำเลยนำรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน ช.ม.08213มาแลกเปลี่ยนกับรถยนต์ของโจทก์ ต่างฝ่ายต่างมอบรถยนต์ให้กันในวันแลกเปลี่ยนนั้น นายมนัส เกียรติอนันต์ ได้มายึดรถยนต์คันที่จำเลยนำมาแลกเปลี่ยนคืน โดยอ้างว่ามิได้มอบหมายให้จำเลยเป็นตัวแทนแลกเปลี่ยนรถยนต์กับโจทก์การกระทำของจำเลยเป็นการประพฤติผิดสัญญา โจทก์จึงเลิกสัญญากับจำเลย ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 84,750 บาทและต่อจากวันฟ้อง

จำเลยให้การว่า เมื่อจำเลยรับรถยนต์จากโจทก์แล้ว ได้นำไปขายผ่อนส่งให้แก่นายลอน ม่านมุ่งสิน ในราคา 27,000 บาท โจทก์กับนายสอนตกลงกันใหม่ว่าให้นายสอนชำระเงินโดยตรงต่อโจทก์ และขอร้องจำเลยให้นายสอนชำระเงินที่ค้าง 8,000 บาทต่อโจทก์แล้วโจทก์ยอมคืนรถยนต์คันที่จำเลยนำมาแลกเปลี่ยนให้นายมนัส

โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางสายฝน ชินสร้อย เข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลอนุญาต

นางสายฝน ชินสร้อย จำเลยร่วมให้การว่า มิได้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์จำเลย

สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน เข้าหุ้นส่วนประกอบกิจการค้ารถยนต์ในการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินค่ารถยนต์ของโจทก์เป็นเงิน 25,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันเมื่อ พ.ศ. 2511 การค้าขายแลกเปลี่ยนรถยนต์เป็นกิจการของจำเลยที่ 1

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองของทั้งสองสำนวนร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ทั้งสองสำนวนเป็นเงิน 25,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย

โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในสำนวนแรกจำนวนเงิน 84,750 บาทแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 10,000 บาท และให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคารถยนต์เฟียต25,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองของทั้งสองสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยทั้งสองเป็นหุ้นส่วนกัน อันจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคารถยนต์เฟียต 25,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะคดีแรกที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายมานั้น โจทก์ควรจะได้ขอเรียกคืนรถหรือให้ใช้ราคารถยนต์เฟียตได้อยู่แล้ว แต่โจทก์มิได้ขอคดีแรกยังอยู่ในระหว่างพิจารณาโจทก์มาฟ้องคดีหลังให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินค่ารถยนต์ จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173วรรคสอง อนุมาตรา (1) แม้คู่ความจะมิได้ยกข้อนี้ขึ้นฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในสำนวนหลังนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share