คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2673/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 มุ่งบัญญัติถึงสิทธิ์ครอบครองในที่ดินซึ่งได้มีการออกโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้หนึ่งผู้ใดแล้ว หนังสือรับรองการทำประโยชน์หาใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินทางทะเบียนดังเช่นโฉนดที่ดินไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้เป็นฝ่ายครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท แม้จะอ้างว่าได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทมาก็ตาม จะใช้ยันกับโจทก์ซึ่งได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมาหาได้ไม่
เมื่อปรากฏแก่ศาลฎีกาว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ได้พิพากษาให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2515 นั้นผิดพลาดไป เพราะวันที่แท้จริงนั้นเป็นวันที่ 18 มิถุนายน 2516 ศาลฎีกาก็ชอบที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดนี้เสียให้ถูกต้องโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 143 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ โจทก์ได้เข้ายึดถือครอบครองที่ดินรกร้างว่างเปล่า ๑ แปลง ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ หรือ ๒๕๑๐ จำเลยที่ ๒ ได้มาขอให้โจทก์ลงชื่อรับรองเขตที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกซึ่งอยู่ติดต่อกับที่ดินสงวนของกรมทางหลวงแผ่นดิน โดยอ้างว่ากรมทางหลวงแผ่นดินไม่สงวนที่ดินนั้นแล้ว เพื่อจำเลยที่ ๒ จะขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) สำหรับที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์หลงเชื่อได้ลงชื่อให้ไป ต่อมาจำเลยทั้ง ๓ ได้ร่วมกันฉ้อโกงเอาที่สวนยางของโจทก์บริเวณที่ดินหมายอักษร ก. ข. ค. ง. ตามแผนที่ท้ายฟ้อง เพื่อเอาดินลูกรังขายให้แก่แขวงการทางกระบี่ กรมทางหลวงแผ่นดิน โดยจำเลยที่ ๑ อ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของตนตาม น.ส.๓ และในวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๖ จำเลยทั้งสามได้ให้นายแฉลูกจ้างจำเลยที่ ๓ นำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถดินในสวนยางของโจทก์เสียหายคิดเป็นเงิน ๒๔๖,๓๕๐ บาท แต่โจทก์ขอเรียกร้องเพียง ๗๕,๐๐๐ บาท หากทางพิจารณาได้ความว่าที่ดินภายในเส้นหมาย ก. ข. ค. ง. เป็นของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จำเลยทั้งสองก็ขาดสิทธิ์ครอบครองในที่ดิน เพราะโจทก์ครอบครองที่ดินดังกล่าวมาเป็นเวลา ๑๙ ปีแล้ว ทั้งเมื่อจ่าศาลไปทำแผนที่ จำเลยที่ ๑ ได้นำชี้ที่ดินทางตอนใต้ของที่ดินภายในเส้น ก. ข. ค. ง. อ้างว่าเป็นของจำเลยที่ ๑ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอพิพากษาว่าที่ดินตาม น.ส.๓ และที่ดินทางตอนใต้ของ น.ส.๓ เป็นที่ดินของโจทก์ ให้เพิกถอนหนังสือ น.ส.๓ ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย นับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๗๕,๒๑๕.๑๕ บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี จากเงิน ๗๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของที่พิพาทได้ยกให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งการครอบครองไว้ตาม ส.ค. ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ ต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๐ ทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และโจทก์ได้ลงชื่อรับรองเขตที่ดินติดต่อ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๑๖ จำเลยที่ ๓ ได้ให้ลูกจ้างนำรถเข้าไปไถในที่ดินดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ได้ห้ามและฟ้องจำเลยที่ ๓ ต่อศาล จำเลยที่ ๓ ยอมใช้ค่าเสียหาย จำเลยที่ ๑ จึงถอนฟ้อง หากโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท โจทก์ก็หมดสิทธิ์ฟ้อง เพราะจำเลยที่ ๑ ครอบครองที่พิพาทมาเกินกว่า ๑ ปีแล้ว
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ ๒ ถึงแก่กรรม ศาลอนุญาตให้นางลี่หย้าเข้าเป็นคู่ความแทน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวารออกไปจากที่พิพาท ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๑๖ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกคำขอที่ให้เพิกถอน น.ส.๓
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ในต้นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๕ ซึ่งเป็นวันทำละเมิดจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพฤติการณ์เชื่อได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมา แม้จำเลยที่ ๑ จะอ้างว่าได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทมาก็ตาม เมื่อจำเลยมิได้เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท หนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิ์ครอบครองในที่ดินดังกล่าว จะนำข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๓ มาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้ เพราะกฎหมายมาตรานั้นมุ่งบัญญัติถึงสิทธิ์ครอบครองในที่ดิน ซึ่งได้มีการออกโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้หนึ่งผู้ใดแล้ว หนังสือรับรองการทำประโยชน์หาใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินทางทะเบียนเช่นโฉนดที่ดินไม่
แต่โดยที่ปรากฏแก่ศาลฎีกาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ได้พิพากษาให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๕ ซึ่งผิดพลาดไปเพราะวันที่จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์นั้นเป็นวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๖ ชอบที่ศาลฎีกาจะแก้ไขข้อผิดพลาดนี้เสียให้ถูกต้องโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๔๓ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่ให้แก้วันที่ให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์จากวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๕ เป็นนับแต่วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๖.

Share