คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า หลักเขตระหว่างที่ดินของโจทก์กับจำเลยได้เคลื่อนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ และจำเลยกั้นรั้วครอบครองตามหลักเขตนั้นไม่ยอมย้ายหลักเขตไปไว้ที่เดิม ทำให้โจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ไม่ได้ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้ล้อมรั้วรุกล้ำที่ดินของโจทก์แต่โจทก์รุกล้ำขัดขวางไม่ให้จำเลยล้อมรั้วตามเขตที่ดินของจำเลย และโจทก์ได้ปลูกตึกแถวมีกันสาดเข้ามาใกล้ชิดกับที่ดินและรั้วบ้านจำเลยทำให้จำเลยเดือดร้อนเสียหายเพราะน้ำและสิ่งต่างๆ ตกลงมาถูกบ้านและรั้วของจำเลย ขอให้โจทก์รื้อกันสาดด้วย เรื่องน้ำฝนตกถูกกันสาดและกระเซ็นลงสู่ที่ดินและบ้านเรือนของจำเลยนั้นเป็นปัญหาเกี่ยวพันกับที่ดินแปลงที่โจทก์และจำเลยพิพาทเรื่องเขตแดนตามฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยเรื่องกันสาดจึงเกี่ยวกับฟ้องเดิม
ในชั้นพิจารณา คู่ความตกลงท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญไปรังวัดที่ดินว่ามีการรุกล้ำกันหรือไม่เพียงใด ให้ศาลพิพากษาคดีไปตามผลการรังวัด โจทก์จำเลยขอสละข้ออ้างและข้อต่อสู้ในประเด็นอื่นๆ ทั้งสิ้น และศาลบันทึกไว้ด้วยว่าโจทก์ยอมแก้ไขหรือทำด้วยประการใดๆ มิให้น้ำจากกันสาดตกหรือกระเด็นเข้าไปในที่ดินหรืออาคารของจำเลยภายใน 1 เดือน ผลการรังวัดปรากฏว่าจำเลยมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่โจทก์กลับเป็นฝ่ายรุกล้ำที่ดินของจำเลยส่วนเรื่องน้ำตกจากกันสาดนั้น โจทก์แถลงว่าได้จัดการแก้ไขแล้ว แต่น้ำฝนยังตกกระเด็นจากกันสาดลงมายังที่ดินและบ้านเรือนของจำเลยอยู่อีก คำว่าประเด็นอื่น ๆ ที่คู่ความสละเสียนั้น หมายถึงประเด็นที่คู่ความยังโต้เถียงกันอยู่ ส่วนประเด็นเรื่องกันสาดตามที่ศาลบันทึกไว้ในรายงานมีข้อความดังกล่าวนั้น เท่ากับโจทก์ยอมรับว่าที่โจทก์สร้างกันสาดนั้นเป็นเหตุให้น้ำฝนกระเด็นมาถูกรั้วและบ้านจำเลยเสียหายตามฟ้องแย้งเรื่องกันสาดจึงมิใช่ประเด็นที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกัน และอยู่นอกเหนือจากประเด็นที่คู่ความตกลงสละประเด็นเรื่องกันสาดจึงมิได้ระงับไป ศาลจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยชอบ แต่กันสาดนี้อยู่ภายในแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินโจทก์ มิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ของจำเลย และตามพยานหลักฐานในสำนวนกรณียังมีทางแก้ไขมิให้น้ำฝนตกกระเซ็นลงสู่พื้นดินบ้านเรือนและรั้วบ้านของจำเลยได้ ศาลพึงพิพากษาให้โจทก์จัดการแก้ไขก่อนหากโจทก์ไม่แก้ไขหรือแก้ไขแล้วไม่เป็นผลจึงจะให้รื้อกันสาดเสีย ไม่ชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์รื้อไปทันที

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยต่างเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งมีแนวเขตติดต่อกัน ปรากฏว่า หลักเขตระหว่างที่ดินของโจทก์และจำเลยได้เคลื่อนที่และรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ จำเลยได้กั้นรั้วครอบครองตามหลักเขตดังกล่าวรุกเข้ามาในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 1 ตารางวา จำเลยปฏิเสธไม่ยอมย้ายหลักเขตไปไว้ที่เดิม ทำให้โจทก์รังวัดแบ่งเขตที่ดินไม่ได้ ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบที่ดินประมาณ 1 ตารางวาแก่โจทก์ โดยยอมให้เจ้าพนักงานที่ดินปักหลักเขตที่ดินใหม่ให้ถูกต้อง และให้รื้อถอนรั้วกับสิ่งปลูกสร้างออกไปให้จำเลยชำระค่าใช้ช่างรังวัด 1,200 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย และให้จำเลยใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ด้วย

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้ล้อมรั้วครอบครองที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ แต่โจทก์รุกล้ำขัดขวางไม่ให้จำเลยล้อมรั้วตามเขตที่ดินของจำเลย รวมเนื้อที่ประมาณ 2 ตารางวา และโจทก์ได้ปลูกตึกแถวมีกันสาดเข้ามาใกล้ชิดกับที่ดินและรั้วบ้านจำเลย ทำให้จำเลยได้รับความเดือดร้อนเสียหาย เพราะน้ำและสิ่งต่าง ๆ ตกลงมาถูกบ้านและรั้วของจำเลยเปียกชื้นชำรุดเสียหายเป็นเงิน 3,000 บาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าที่ดินตามแผนที่สังเขปเนื้อที่ 2 ตารางวาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้อง ให้โจทก์รื้อกันสาดตึกแถวออกไป และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย

โจทก์ให้การปฏิเสธฟ้องแย้งและตัดฟ้องว่าฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม

ศาลชั้นต้นสืบตัวโจทก์ที่ 1 ไปได้ปากเดียว คู่ความตกลงท้ากันให้นายพิชิต ทองประไพ ผู้เชี่ยวชาญไปรังวัดที่ดินของโจทก์และจำเลยอีกว่ามีการรุกล้ำกันหรือไม่เพียงใดแล้วให้นายพิชิตทำแผนที่และรายงานผลการรังวัด และให้ศาลพิพากษาคดีไปตามผลการรังวัดของนายพิชิต โจทก์และจำเลยขอสละข้ออ้างและข้อต่อสู้ในประเด็นอื่น ๆ ทั้งสิ้น รายละเอียดปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 18 มิถุนายน 2514 ตามรายงานฉบับดังกล่าว ศาลชั้นต้นยังบันทึกไว้ด้วยว่า โจทก์ยอมแก้ไขหรือทำด้วยประการใด ๆ มิให้น้ำจากกันสาดด้านทิศใต้ยาวไปทิศเหนือของอาคารตึกโจทก์ตามภาพถ่ายหมาย 2 ท้ายคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลย ตกหรือกระเด็นเข้าไปในที่ดินของจำเลยหรืออาคารของจำเลยภายใน 1 เดือนนับแต่วันนี้

นายพิชิตได้ไปทำการรังวัดที่พิพาทแล้ว ได้ทำแผนที่และรายงานผลการรังวัดว่า จำเลยมิได้รุกที่ดินของโจทก์ แต่โจทก์เป็นฝ่ายรุกที่ดินจำเลยเป็นเนื้อที่ 0.135 ตารางวา ภายในรูปสามเหลี่ยมสีเหลือง อักษร ก.ข.ค.ปรากฏตามแผนที่ท้ายรายงานของนายพิชิต ทองประไพ ฉบับลงวันที่ 3 กันยายน 2514

ส่วนเรื่องน้ำตกจากกันสาดด้านทิศตะวันตก (น่าจะเป็นทิศตะวันออก) ของตึกโจทก์เข้าไปในที่ดินและบ้านเรือนจำเลยตามฟ้องแย้งนั้น โจทก์แถลงว่าได้จัดการแก้ไขแล้ว แต่เวลาฝนตก น้ำฝนยังตกกระเด็นจากกันสาดดังกล่าวลงมายังที่ดินและบ้านเรือนจำเลยอีก

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้รุกที่ของโจทก์ แต่โจทก์รุกที่ดินของจำเลยเนื้อที่ 0.135 ตารางวาตามแผนที่ท้ายรายงานของนายพิชิต ทองประไพ และฟังได้ว่าน้ำฝนได้ตกจากกันสาดด้านทิศตะวันตก (น่าจะเป็นทิศตะวันออก) ของอาคารโจทก์ลงไปยังที่ดินและรั้วกับอาคารของจำเลย พิพากษาว่าที่ดินตามแผนที่ท้ายรายงานของนายพิชิต ทองประไพ ฉบับลงวันที่ 3 กันยายน 2514 ในเส้นสีเหลืองที่ลากจากจุด ก.ข.ค. เนื้อที่ 0.135 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ห้ามโจทก์กับบริวารเข้าเกี่ยวข้องหรือขัดขวางการครอบครองตลอดจนการทำรั้วในที่ดินดังกล่าว และให้โจทก์รื้อกันสาดตึกแถวของโจทก์ด้านทิศตะวันตก (น่าจะเป็นทิศตะวันออก) จากทิศใต้ไปทิศเหนือยาวประมาณ 12 เมตร กว้างประมาณ 45 เซนติเมตรออกไป

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

มีปัญหาในชั้นฎีกาแต่เฉพาะตามฟ้องแย้งของจำเลยว่าจะบังคับให้โจทก์รื้อกันสาดด้านทิศตะวันออกของตึกโจทก์ได้หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ประเด็นเรื่องกันสาดนั้น คู่ความได้ตกลงสละไม่ติดใจต่อสู้กันอีก โดยตกลงให้ถือเอาคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 และคำขอท้ายฟ้องแย้งข้อ 1 เป็นข้อแพ้ชนะกันเท่านั้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเรื่องกันสาด จึงไม่ชอบนั้น ได้พิจารณาแล้วตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 18 มิถุนายน 2514 ที่คู่ความท้ากันให้นายพิชิต ทองประไพ ผู้เชี่ยวชาญไปรังวัดที่ดินของโจทก์และจำเลยว่ามีการรุกล้ำกันหรือไม่ เพียงไร และให้ศาลพิพากษาคดีไปตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ โดยคู่ความขอสละข้ออ้างและข้อต่อสู้ในประเด็นอื่น ๆ ทั้งสิ้นไม่ติดใจจะเรียกร้องค่าอื่นใดต่อกันอีก ฯลฯ เห็นว่า คำว่าประเด็นอื่น ๆ ที่คู่ความสละไม่ต่อสู้กันอีกนั้น หมายถึงประเด็นที่คู่ความยังโต้เถียงกันอยู่ ส่วนประเด็นเรื่องกันสาดนั้น ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในรายงานฉบับเดียวกันนั้นว่า โจทก์ยอมแก้ไขหรือทำด้วยประการใด ๆ มิให้น้ำจากกันสาดตกหรือกระเด็นเข้าไปในที่ดินของจำเลยหรืออาคารจำเลย เท่ากับโจทก์ยอมรับว่า ที่โจทก์สร้างกันสาดอาคารของโจทก์นั้น เป็นเหตุให้น้ำฝนตกกระเด็นมาถูกรั้วและบ้านจำเลยเสียหายตามฟ้องแย้ง เรื่องกันสาดจึงมิใช่ประเด็นที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกัน และอยู่นอกเหนือจากประเด็นที่คู่ความตกลงสละไม่ต่อสู้กัน ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 18 มิถุนายน 2514 ประเด็นเรื่องกันสาดยังมิได้ระงับไปดังข้อฎีกาของโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย เป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้วที่โจทก์ฎีกาว่า ปัญหาเรื่องกันสาดตามฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่ควรรับฟ้องแย้งไว้พิจารณานั้น เห็นว่า เรื่องน้ำฝนตกถูกกันสาดของอาคารโจทก์และกระเซ็นลงสู่ที่ดินและบ้านเรือนของจำเลยนั้น เป็นปัญหาเกี่ยวพันกับที่ดินแปลงที่โจทก์และจำเลยพิพาทเรื่องเขตแดนตามฟ้องเดิม ฟ้องแย้งจำเลยเรื่องกันสาดจึงเกี่ยวกับฟ้องเดิม ที่ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งส่วนนี้ไว้พิจารณาเป็นการชอบแล้ว และที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลจะบังคับให้จำเลยรื้อกันสาดทิ้งไม่ได้ อย่างมากก็บังคับให้โจทก์ทำบัวขอบกันสาดขึ้นมาตามที่โจทก์ตกลงยินยอมไว้นั้น เห็นว่ากันสาดตึกแถวที่โจทก์สร้างขึ้นนั้นอยู่ภายในแดนแห่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโจทก์ หาได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยไม่ตามพยานหลักฐานในสำนวน กรณียังมีทางที่จะแก้ไขมิให้น้ำฝนตกกระเซ็นลงสู่ที่ดิน บ้านเรือนและรั้วบ้านของจำเลยได้ ที่ศาลล่างพิพากษาให้โจทก์รื้อกันสาดทันทีโดยไม่ให้โจทก์แก้ไขเสียก่อนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษาแก้เฉพาะเรื่องกันสาดตึกแถวเป็นว่า ให้โจทก์จัดการแก้ไขกันสาดตึกแถวของโจทก์ด้านทิศตะวันออกมิให้น้ำฝนตกกระเซ็นลงสู่ที่ดินบ้านเรือนและรั้วของจำเลย หากโจทก์ไม่แก้ไขหรือแก้ไขแล้วไม่เป็นผล ให้รื้อกันสาดดังกล่าวจากทิศใต้ไปทิศเหนือยาวประมาณ 12 เมตร กว้างประมาณ 45 เซนติเมตรออกไป นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share