แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมีไม้สักแปรรูปของกลางทั้งหมดไว้ในครอบครองไม้สักแปรรูปของกลางเป็นส่วนหนึ่งของไม้ ในกิจการโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรของ ป. มาก่อน โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าไม้สักในกิจการแปรรูปไม้ ของ ป. เป็นไม้ที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กลับปรากฏจากคำเบิกความของ ส.และอ.พยานโจทก์ว่าส.และอ. ต่างเคยไปที่โรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรของ ป. แต่ไม่เคยพบการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้มาก่อนค่าพยานจำเลยที่ว่า ป.ซื้อไม้สักที่ถูกต้องตามกฎหมายจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้มาใช้ในกิจการโรงงานแปรรูปไม้โดยเครื่องจักรของ ป.ย่อมเป็นไม้ที่ชอบด้วยพระราชบัญญัติป่าไม้ กรณีถือได้ว่าจำเลยมีไม้สักแปรรูปของกลางไว้ในครอบครองโดยมีหลักฐานแสดงว่าได้ไม้นั้นมาโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติป่าไม้แล้วเมื่อจำเลยมีไม้สักแปรรูปของกลางไว้ในครอบครองโดยมีหลักฐาน แสดงว่าได้ไม้นั้นมาโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติป่าไม้แล้ว เมื่อจำเลยมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยมิใช่เพื่อการค้า จึงไม่ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เพราะเข้า ข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 40(3) จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีไม้สักแปรรูปจำนวน 9,564 แผ่น/เหลี่ยมปริมาตร 3.93 ลูกบาศก์เมตร ไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 48, 73, 74 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 48 วรรคแรก,73 วรรคสอง, 74 จำคุก 2 ปี คำรับของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลย 1 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ หากจำเลยกระทำผิดสมควรลงโทษในสถานเบาและรอการลงโทษจำเลยหรือไม่
ปัญหาประการแรกนั้น ปรากฏตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยและนายประยูร ฝากมิตร เอกสารหมาย จ.11 และ จ.12ที่โจทก์อ้างส่งเป็นพยานว่า จำเลยและนายประยูร ให้การชั้นสอบสวนไว้เช่นเดียวกันว่าจำเลยขอไม้สักแปรรูปของกลางทั้งหมดจากนายประยูรมาเก็บไว้ที่บ้านของจำเลย แต่จำเลยและนายประยูรพยานจำเลยเบิกความว่า จำเลยขอไม้สักแปรรูปของกลางจากนายประยูรเฉพาะในส่วนที่ไม่เป็นเศษไม้ แต่มีตำหนิมาเก็บไว้ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น ส่วนไม้สักแปรรูปของกลางนอกนั้นเป็นเศษไม้ที่นายประยูรนำมาฝากจำเลยไว้ เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า จำเลยมีไม้ดังกล่าวทั้งหมดไว้ในครอบครองหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยได้ทำการชั้นจับกุมตามบันทึกการตรวจยึดจับกุม เอกสารหมาย จ.1 ไว้ว่า นายประยูรนำไม้สักแปรรูปของกลางทั้งหมดมาฝากจำเลยเก็บไว้ ก็มีแต่จำเลยเบิกความกล่าวอ้างเช่นนั้นลอย ๆ และที่จำเลยจำเลยกับนายประยูร พยานจำเลยเบิกความไว้ดังกล่าวก็เป็นการกล่าวอ้างเช่นนั้นในภายหลังและขัดกับข้อความบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยและนายประยูรเอง เมื่อจำเลยและนายประยูรไม่ได้เบิกความถึงเหตุผลที่ยอมลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวว่ามิชอบอย่างใดว่าจำเลยและนายประยูรให้การชั้นสอบสวนไว้ดังกล่าวโดยชอบคำพยานจำเลยดังกล่าวจริงหามีน้ำหนักหักล้างข้อความบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวได้ไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยขอไม้สักแปรรูปของกลางทั้งหมดจากนายประยูรมาเก็บไว้ที่บ้านของจำเลย จำเลยจึงมีไม้สักแปรรูปของกลางทั้งหมดไว้ในครอบครองคงมีปัญหาต่อไปว่าการที่จำเลยมีไม้สักแปรรูปของกลางทั้งหมดไว้ในครอบครองนั้น จำเลยจะมีความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองนั้น จำเลยจะมีความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ โจทก์มีนายสมนึก รื่นเริงฤทธิ์ และนายอุรชาติ สุทธนะเจ้าพนักงานป่าไม้ สำนักงานป่าไม้เขตแพร่ เป็นพยานเบิกความถึงการจับกุมจำเลยว่า เพราะจำเลยไม่มีหลักฐานแสดงการมีไม้สักแปรรูปของกลางไว้ในครอบครองได้ และไม้สักแปรรูปของกลางเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ตามพระราชบัญญัติป่าไม้การที่จำเลยมีไม้นั้นไว้ในครอบครองจึงมีความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เห็นว่า จำเลยมีตัวจำเลยและนายประยูรเป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่านายประยูรเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรและได้รับอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามใบอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรและได้รับอนุญาตประกอบกิจการโรงงานเอกสารหมาย ล.1 และ ล.1 โดยซื้อไม้สักที่ถูกต้องตามกฎหมายจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้มาใช้ในกิจการดังกล่าว ไม้สักแปรรูปของกลางเป็นส่วนหนึ่งของไม้ในกิจการดังกล่าวมาก่อนนายณรงค์ โทณานนท์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นนักวิชาการป่าไม้ 8 กองวิจัยผลิตผลป่าไม้ผู้เชี่ยวชาญของศาลทางพิสูจน์ไม้เบิกความประกอบกับรายงานผลการตรวจพิสูจน์ไม้สักแปรรูปของกลางเอกสารหมาย จ.6 ว่า พยานเป็นผู้ตรวจพิสูจน์ไม้สักแปรรูปของกลาง ซึ่งจำเลยอ้างว่าไม้นั้นเป็นของนายประยูรเจ้าของโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรเพื่อประดิษฐกรรมมาก่อนพยานพิจารณาตามที่จำเลยกล่าวอ้างประกอบกับการตรวจพิสูจน์ไม้นั้นแล้ว เห็นว่าเป็นไปได้ว่าไม้สักแปรรูปของกลางเป็นไม้ที่นำมาจากโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรเพื่อประดิษฐกรรมของนายประยูรจริง และเห็นว่า น่าจะเป็นไม้ที่ถูกต้องหากว่าทางโรงงานแปรรูปไม้แห่งนั้นมีหลักฐานการได้มาโดยต้องตามกฎหมาย คำเบิกความของนายณรงค์พยานโจทก์ที่ว่า เป็นไปได้ว่าไม้สักแปรรูปของกลางเป็นไม้ที่นำมาจากโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรเพื่อประดิษฐกรรมของนายประยูรจริง จึงเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยและนายประยูรพยานจำเลยให้รับฟังได้ว่า ไม้สักแปรรูปของกลางเป็นส่วนหนึ่งของไม้ในกิจการโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรของนายประยูรมาก่อน โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าไม้สักในกิจการแปรรูปไม้ของนายประยูรนั้นเป็นไม้ที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กลับปรากฏจากคำเบิกความของนายสมนึกและนายอุระชาติ พยานโจทก์ว่า นายสมนึกและนายอุรชาติต่างเคยไปที่โรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรของนายประยูร แต่ไม่เคยพบการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้มาก่อนดังนั้น คำพยานจำเลยดังกล่าวที่ว่านายประยูรซื้อไม้สักที่ถูกต้องตามกฎหมายจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้มาใช้ในกิจการโรงงานแปรรูปไม้โดยเครื่องจักรของนายประยูรจึงมีเหตุผลรับฟังได้ เพราะองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ไม้สักขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ที่ขายให้แก่นายประยูร ย่อมเป็นไม้ที่ชอบด้วยพระราชบัญญัติป่าไม้กรณีดังวินิจฉัยถือได้ว่า ที่จำเลยมีไม้สักแปรรูปของกลางไว้ในครอบครองนั้น จำเลยมีหลักฐานแสดงว่าได้ไม้นั้นมาโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติป่าไม้แล้ว เมื่อจำเลยมีไม้สักแปรรูปนั้นไว้ในครอบครองโดยมิใช่เพื่อการค้า จึงไม่ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เพราะเข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 50(3) ซึ่งบัญญัติว่า “บทบัญญัติแห่งมาตรา 48มิให้ใช้บังคับในกรณีดังต่อไปนี้
(1)
(2)
(3) การมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองที่มิใช่เพื่อการค้าโดยมีหลักฐานแสดงว่าได้ไม้นั้นมาโดยชอบด้วยพระราชบัญญัตินี้”จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 48 วรรคแรก, 73 วรรคสอง ไม้แปรรูปของกลางจึงมิใช่ไม้อันได้มาหรือมีไว้เนื่องจากการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้อันได้มาหรือมีไว้เนื่องจากการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ที่จะริบได้ให้คืนแก่จำเลยเสียคดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาในข้ออื่นอีกต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้คืนไม้สักแปรรูปของกลางแก่จำเลย