คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2916/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.วิ.พ. มาตรา 138 วรรคสอง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านี้ เว้นแต่ในเหตุต่อไปนี้ (1) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล (2) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน” จำเลยฎีกาว่า นาง ด. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย และโจทก์ซึ่งเป็นผู้นำยึดอาคารพาณิชย์เลขที่ 233/3 ร่วมกันแจ้งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า อาคารพาณิชย์เลขที่ 233/3 มีนาง ล. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ความจริงอาคารพาณิชย์เลขที่ 233/3 เป็นกรรมสิทธิ์ของนาง พ. ทำให้การขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยโจทก์เป็นผู้ซื้ออาคารพาณิชย์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และพฤติการณ์ของโจทก์กับนาง ด. เป็นการฉ้อฉลจำเลย เห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยอ้างว่าการขายทอดตลาดอาคารพาณิชย์เลขที่ 233/3 ของพนักงานบังคับคดีไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเกิดจากการคบคิดกันฉ้อฉลในระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องในการบังคับคดี หาใช่เรื่องที่โจทก์หลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะทำให้เห็นว่าสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเกิดโดยการฉ้อฉลของโจทก์แต่อย่างใดไม่ และข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมนั้นก็มิได้ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น ข้ออ้างของจำเลยจึงมิได้เข้าข้อยกเว้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138 วรรคสอง ในอันที่จำเลยจะใช้สิทธิอุทธรณ์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากอาคารพาณิชย์เลขที่ 233/3 ให้จำเลยส่งมอบอาคารพาณิชย์ดังกล่าวให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 21,000 บาท และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 7,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะได้ขนย้ายทรัพย์สินออกจากอาคารพาณิชย์ของโจทก์
จำเลยให้การขอให้ลดค่าเสียหายลงเป็นเดือนละ 3,000 บาท
ก่อนสืบพยาน โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลว่า ข้อ 1. จำเลยยินยอมขนย้ายบริวารและทรัพย์สินออกจากอาคารพาณิชย์เลขที่ 233/3 ให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน (ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2546) ทั้งนี้จำเลยและบริวารจะส่งมอบอาคารพาณิชย์ดังกล่าวให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และไม่เข้าเกี่ยวข้องหรือรบกวนสิทธิในอาคารดังกล่าวของโจทก์อีกต่อไป ข้อ 2. หากครบกำหนดตามข้อ 1. จำเลยและบริวารเพิกเฉย จำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องและค่าเสียหายเดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันผิดสัญญาจนกว่าจำเลยและบริวารได้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปเสร็จสิ้น กับให้โจทก์บังคับคดีกับจำเลยและบริวารได้ทันที ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม
จำเลยอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลย ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ให้ยกอุทธรณ์จำเลยชอบหรือไม่ เห็นว่า โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านี้ เว้นแต่ในเหตุต่อไปนี้ (1) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล (2) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน” จำเลยฎีกาว่า นางดาหวันเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย และโจทก์ซึ่งเป็นผู้นำยึดอาคารพาณิชย์เลขที่ 233/3 ร่วมกันแจ้งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าอาคารพาณิชย์เลขที่ 233/3 มีนางลาวัลน์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ความจริงอาคารพาณิชย์เลขที่ 233/3 เป็นกรรมสิทธิ์ของนางเพลิน ทำให้การขายทอดตลาดของพนักงานบังคับคดีโดยโจทก์เป็นผู้ซื้ออาคารพาณิชย์ดังกล่าวได้นั้นมีลักษณะเป็นการละเมิดบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และพฤติการณ์ของโจทก์กับนางดาหวันเป็นการฉ้ลฉลจำเลยด้วยนั้นเห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยอ้างว่าการขายทอดตลาดอาคารพาณิชย์เลขที่ 233/3 ของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเกิดจากกการคบคิดกันฉ้อฉลในระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องในการบังคับคดี หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์หลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะทำให้เห็นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเกิดโดยการฉ้อฉลของโจทก์แต่อย่างใดไม่ และข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมนั้นก็มิได้ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น ข้ออ้างของจำเลยจึงมิได้เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง ในอันที่จำเลยจะใช้สิทธิอุทธรณ์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share