คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยต่างเช่าห้อง โดยโจทก์อยู่ชั้นบน จำเลยอยู่ชั้นล่างช่วยกันออกค่าเช่าให้เจ้าของห้องด้วยกันโจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้แม้ฝ่ายใดจะทำสัญญาเช่าห้องทั้งห้องกับเจ้าของแต่ฝ่ายเดียวก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 28 เดือนตุลาคมพุทธศักราช 2495

คดีสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน เรียกฝ่ายนายยกเกียวว่าโจทก์ เรียกฝ่ายนางตา นายคิมหย่วน ซึ่งเป็นภริยาสามีกันว่าจำเลยได้ความว่าเดิมนายเกียฟัดบิดาโจทก์ได้เช่าห้องแถวของนายวรี วีรางกูรหมายเลข 410 ริมคลองสาธร อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร เป็นที่อยู่อาศัยมาช้านาน ครั้น พ.ศ. 2491 นายเกียฟัดกลับไปประเทศจีนมอบหมายให้โจทก์ผู้บุตรเป็นเจ้าบ้าน มีชื่อในทะเบียนสำมะโนครัว ส่วนการเช่าคงเก็บค่าเช่าในนามของนายเกียฟัดเช่นเดิมนายเกียฟัดไปประเทศจีนประมาณ 1 ปีก็ตาย การเช่าก็คงเก็บในนามของนายเกียฟัดตลอดมา จนถึงเดือนกันยายน 2494ฝ่ายเจ้าของห้องโดยนางสาวมาลี วีรางกูร ผู้รับมอบอำนาจจึงได้ทำสัญญาให้นางตาจำเลยเป็นผู้เช่าห้องรายนี้ และเก็บค่าเช่าในนามของนางตา โดยถือว่านายเกียฟัดตายแล้วสัญญาเช่าย่อมสิ้นสุดไป จำเลยทั้งสองนี้ได้ความว่าเข้ามาอยู่ในห้องรายนี้ร่วมกับโจทก์ก่อนแต่นางตาจำเลยทำสัญญาเช่าแล้ว โดยโจทก์กับครอบครัวอยู่ชั้นบน จำเลยกับครอบครัวอยู่ชั้นล่างเหตุที่นางตาจำเลยไปทำสัญญาเช่าก็เนื่องจากเกิดแตกร้าวกันขึ้นกับโจทก์

เนื่องจากการแตกร้าวและแก่งแย่งกันเป็นผู้เช่า โจทก์จึงมาฟ้องนายคิมหย่วนเป็นสำนวนแรก (โดยมีนางตาขอเข้าร่วมเป็นจำเลยด้วย) ขอให้ขับไล่จำเลยจากห้องพิพาท อ้างว่าโจทก์ให้จำเลยและบริวารอยู่ทางอาศัย

จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าไม่ได้อาศัยโจทก์ หากจำเลยเข้าอยู่ในห้องรายนี้ ตั้งแต่ก่อนนายเกียฟัดบิดาโจทก์ไปเมืองจีน โดยจำเลยเข้ามาร่วมเช่าอยู่ด้วย โจทก์นี้เข้ามาอยู่ในห้องพิพาทโดยอาศัยนายเกียฟัด เมื่อนายเกียฟัดตายสัญญาเช่าส่วนของนายเกียฟัดสิ้นสุดลงโจทก์ไม่ได้ชำระค่าเช่า และไม่ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่าให้ทราบภายใน 1 เดือน นับแต่วันนายเกียฟัดตาย โจทก์คงอาศัยจำเลยอยู่เรื่อยมา ต่อมาผู้ให้เช่าจึงได้ตกลงทำสัญญาให้นางตาจำเลยเช่าห้องรายนี้

วันเดียวกับที่ให้การต่อสู้คดีนางตาได้กลับเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่นายยกเกียวเป็นคดีหลัง โดยกล่าวความทำนองเดียวกับที่ให้การต่อสู้ในคดีแรก และว่าในการฟ้องนี้ ผู้ให้เช่าได้ยินยอมอนุญาตให้ฟ้องแล้ว

นายยกเกียวในฐานะเป็นจำเลยคงให้การต่อสู้ว่าเมื่อนายเกียฟัดไปเมืองจีนแล้ว นายยกเกียวได้เป็นเจ้าบ้านและชำระค่าเช่าตลอดมาโดยความรู้เห็นยินยอมของผู้ให้เช่า ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า นางตาและบริวารเพิ่งเข้ามาอาศัยอยู่เมื่อ 3-4 เดือนก่อนฟ้องนี้เอง แล้วแอบไปทำสัญญาเช่ากับผู้ให้เช่า

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วยกประเด็นว่า ห้องพิพาทใครเป็นผู้เช่าแน่ และวินิจฉัยว่า จำเลยมีสัญญาเช่ามาแสดง ที่โจทก์ว่าเป็นผู้เช่าก็ไม่มีสัญญาในใบเสร็จก็มีชื่อนายเกียฟัดบิดา ไม่ใช่ชื่อโจทก์จึงไม่ถือว่าโจทก์เป็นผู้เช่า และนายเกียฟัดผู้เช่าตายมานานแล้วโจทก์มิได้ขอเช่าภายใน 1 เดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะอ้างตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าได้ เจ้าของห้องมีสิทธิจะให้จำเลยเช่าได้ การเช่าของจำเลยจึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย มีสิทธิที่จะขับไล่โจทก์ได้ จึงพิพากษาให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกจากห้องพิพาท

โจทก์อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน โดยมีผู้พิพากษาผู้พิจารณารับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงด้วย

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีมีข้อพิพาทระหว่างผู้ที่อยู่ในห้องพิพาทด้วยกัน หามีข้อพิพาทเกี่ยวกับผู้ให้เช่าคือฝ่ายเจ้าของห้องไม่ข้อที่จะต้องพิจารณาจึงอยู่ที่ว่า เป็นจริงตามฟ้องของแต่ละฝ่ายหรือไม่ ถ้าเป็นจริงตามกฎหมายจะมีสิทธิขับไล่อีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้อยู่ในห้องพิพาทนี้มาตั้งแต่นายเกียฟัดยังไม่ได้ไปประเทศจีนแล้ว และจำเลยได้ช่วยออกค่าเช่าด้วยตลอดมา ที่ต่างฝ่ายต่างนำสืบว่า เป็นคนออกค่าเช่าทั้งหมดฝ่ายเดียวไม่น่าเชื่อ คดีจึงต้องฟังว่า โจทก์จำเลยอยู่ในห้องพิพาทซึ่งเช่าอยู่มาด้วยกัน โดยช่วยกันเสียค่าเช่าทำนองเช่าร่วมกันฟ้องโจทก์ที่ขอขับไล่จำเลยโดยอ้างว่าจำเลยอาศัยโจทก์จึงตกไป โดยไม่มีเหตุที่จะอ้างอิงเป็นสิทธิขอให้ขับไล่จำเลยได้ ส่วนฟ้องจำเลยที่ให้ขับไล่โจทก์ เมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์อาศัยจำเลยอยู่ตามที่อ้างในฟ้องเป็นฐานที่ตั้งสิทธิขอให้ขับไล่โจทก์ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้อย่างไรจำเลยก็ฟ้องให้ขับไล่โจทก์ไม่ได้อย่างนั้น ส่วนที่จำเลยมีสัญญาที่เจ้าของห้องตกลงให้จำเลยเช่า ก็ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ได้ เพราะโจทก์ไม่ได้เป็นคู่สัญญาด้วย จะเอาสัญญามาบังคับโจทก์ไม่ได้ และจะอ้างว่า โจทก์ละเมิดสิทธิของจำเลยก็ไม่ได้เพราะโจทก์อยู่มาก่อนแล้ว หากจะมีการละเมิดก็ต้องเป็นการละเมิดต่อฝ่ายเจ้าของห้อง หาใช่ละเมิดต่อจำเลยไม่ อำนาจที่จะฟ้องเป็นของฝ่ายเจ้าของห้องเท่านั้น การที่เจ้าของห้องอนุญาตให้จำเลยฟ้อง จะถือว่าฟ้องแทนเจ้าของห้องไม่ได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอย่างใดที่จะอ้างเป็นมูลฐานฟ้องขับไล่โจทก์ได้เช่นเดียวกันจึงพิพากษาแก้โดยให้ยกฟ้องทั้งของโจทก์และจำเลยเสีย

โจทก์และนางตาจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาผู้พิจารณาศาลชั้นต้นรับรองให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย

ศาลฎีกาตรวจปรึกษาแล้วเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า สำหรับข้อเท็จจริงในคดีนี้มีเหตุผลควรเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งสองได้เช่าอยู่ในห้องพิพาทมาตั้งแต่ก่อนนายเกียฟัดบิดาโจทก์ไปประเทศจีนแล้วโดยอยู่ด้วยกันกับนายเกียฟัด และช่วยออกค่าเช่าด้วยกัน เมื่อนายเกียฟัดไปประเทศจีนแล้วโจทก์และจำเลยก็อยู่มาด้วยกัน คือโจทก์กับครอบครัวอยู่ชั้นบน จำเลยกับครอบครัวอยู่ชั้นล่าง และต่างช่วยออกค่าเช่าด้วยกันตลอดมา ในการที่ฝ่ายโจทก์และจำเลยอยู่ในห้องพิพาทนี้มาด้วยกันนั้นได้ความว่าผู้ให้เช่าหรือผู้แทนก็ได้รู้เห็นอยู่ด้วย และเคยเก็บค่าเช่าจากจำเลย ที่ต่างฝ่ายต่างนำสืบว่าเสียค่าเช่าแต่ฝ่ายเดียวอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้อาศัยอยู่นั้นไม่น่าเชื่อ ดังเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์ได้หยิบขึ้นวินิจฉัยไว้แล้วตามพฤติการณ์แห่งข้อเท็จจริงดังกล่าวมาถือได้ว่า โจทก์จำเลยต่างเป็นผู้เช่าห้องพิพาทนี้ต่อฝ่ายเจ้าของห้องด้วยกันเมื่อเช่นนี้แล้วฝ่ายใดจะมาฟ้องขอให้ขับไล่อีกฝ่ายหนึ่งให้ออกจากห้องพิพาทย่อมไม่ได้ส่วนการที่จำเลยไปทำสัญญาโดยฝ่ายเจ้าของห้องให้จำเลยเป็นผู้เช่าห้องรายนี้นั้นก็หาเป็นเหตุจะให้จำเลยยกเอาสัญญานั้นมาฟ้องขับไล่โจทก์ได้ไม่ ดังเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์จำเลยต่างฟังไม่ขึ้นจึงพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share