แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524ที่ประกาศใช้มีความมุ่งหวังช่วยเหลือคุ้มครองชาวนาผู้ยากจนมิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบในการเช่านาผู้อื่นทำ มิได้มีเจตนาจะให้ชาวนาผู้ยากจนใช้สิทธิตามกฎหมายดังกล่าวแสวงหาความร่ำรวยจากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติจนเกินกว่าจะนำที่ดินนั้นมาใช้งานเพื่อเกษตรกรรมต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านามิได้มุ่งหวังจะได้ที่ดินพิพาทเพื่อไปใช้ทำนาต่อไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว เพราะผลผลิตจากที่ดินพิพาทไม่คุ้มกับการลงทุนกู้ยืมเงินมาใช้ซื้อที่ดินพิพาทไปใช้ทำนาต่อไปโจทก์ไม่สามารถนำบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมาบังคับแก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับโอนได้โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินให้ตนในราคา 2,200,000 บาท ซึ่งไม่ใช่ราคาที่จำเลยที่ 1และที่ 2 โอนขายให้จำเลยที่ 3 และไม่ใช่ราคาตลาดที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 54กำหนดให้อำนาจโจทก์จะขอซื้อจากจำเลยที่ 3 คำฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามขายที่นาพิพาทในราคา 2,200,000 บาท เป็นคำฟ้องที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว ศาลไม่สามารถบังคับจำเลยทั้งสามให้โอนขายที่นาพิพาทในราคาตามคำฟ้องของโจทก์ได้ การยื่นฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ยังจะเกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 3 แต่ถ่ายเดียวศาลไม่อาจบังคับตามคำฟ้องของโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่านาจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพื่อทำนาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2531 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขายที่นาแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 ในราคา 2,200,000 บาท โดยไม่ได้แจ้งการขายให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าก่อน เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2ผู้ขาย กับจำเลยที่ 3 ผู้ซื้อ แล้วให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนขายให้แก่โจทก์ในราคา 2,200,000 บาท หากไม่อาจเพิกถอนได้ให้จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ซื้อร่วมหรือแทนกันกับจำเลยที่ 1 และที่ 2โอนขายให้โจทก์ในราคา 2,200,000 บาท หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติก็ให้โจทก์วางเงินจำนวน 2,200,000 บาท ต่อศาลแล้วถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาโอนขายที่ดินให้แก่โจทก์แทนจำเลยทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องคดีต่อศาลขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ขาย กับจำเลยที่ 3 ผู้ซื้อแล้วให้จำเลยที่ 1 และ ที่ 2 โอนขายให้แก่โจทก์ในราคา 7,667,000 บาทหากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์วางเงินดังกล่าวต่อศาลและถือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำให้การพยานโจทก์ดังยกขึ้นกล่าวสรุปได้ว่าโจทก์ยากจนไม่มีความสามารถจะซื้อที่ดินพิพาทไว้ใช้ทำนาต่อไปได้ แม้จะใช้วิธีกู้ยืมเงินบุคคลอื่นมาซื้อ เพราะผลผลิตที่ได้จากที่ดินพิพาทเมื่อคำนวณแล้วยังไม่พอชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินค่าที่ดินพิพาท ปัจจุบันโจทก์มีอายุมากไม่สามารถทำนาต่อไปได้แม้การดำเนินการร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลคูบางหลวง หรืออุทธรณ์ต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดปทุมธานี ก็ต้องใช้>วิธีมอบอำนาจให้นางสาววัฒนา บุตรสาวดำเนินการแทนในการดำเนินคดีชั้นศาล โจทก์ก็ต้องอาศัยนางสาววัฒนาบุตรสาวรับมอบอำนาจมาฟ้องคดีแทน โดยโจทก์ไม่เคยมาเบิกความต่อศาลให้จำเลยได้มีโอกาสซักค้าน ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบเชื่อได้ว่าโจทก์ไม่มีกำลังความสามารถจะซื้อที่ดินพิพาทได้ นอกจากจะมีนายทุนช่วยเหลือและที่สุดจะถูกนายทุนยึดที่ดินพิพาทไป ตามพระราชบัญญัติพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524ที่ประกาศใช้มีความมุ่งหวังช่วยเหลือคุ้มครองชาวนาผู้ยากจนมิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบในการเช่านาผู้อื่นทำ มิได้มีเจตนาจะให้ชาวนาผู้ยากจนใช้สิทธิตามกฎหมายดังกล่าวแสวงหาความร่ำรวยจากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ จนเกินกว่าจะนำที่ดินนั้นมาใช้งานเพื่อเกษตรกรต่อไป ที่โจทก์มอบอำนาจให้นางสาววัฒนามาดำเนินคดีนี้ เชื่อได้ว่าโจทก์มิได้มุ่งหวังจะได้ที่ดินพิพาทเพื่อไปใช้ทำนาต่อไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว เพราะผลผลิตจากที่ดินพิพาทไม่คุ้มกับการลงทุนกู้ยืมเงินมาใช้ซื้อที่ดินพิพาทไปใช้ทำนาต่อไป โจทก์ไม่สามารถนำบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมาบังคับแก่จำเลยที่ 3 ได้ นอกจากนี้ ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 54 บัญญัติว่าถ้าผู้ให้เช่านาขายนาไปโดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 53 ไม่ว่านานั้นจะถูกโอนต่อไปยังผู้ใด ผู้เช่านามีสิทธิซื้อมาจากผู้รับโอนนั้นตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้น แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่ากัน แต่ทั้งนี้ผู้ให้เช่านาจะต้องใช้สิทธิซื้อนาดังกล่าวภายในกำหนดเวลาสองปีนับแต่วันที่ผู้เช่ารู้หรือควรจะรู้หรือภายในกำหนดเวลาสองปีนับแต่ผู้ให้เช่านาโอนนานั้นแสดงว่า แม้ผู้ให้เช่านาขายนาโดยมิได้ให้โอกาสโจทก์ผู้เช่านาได้ซื้อมาก่อนก็ตามแต่สิทธิการเช่านาของโจทก์หาได้ระงับลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม โจทก์มีสิทธิซื้อนาจากผู้รับโอนในราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้ หรือตามราคาตลาดในขณะนั้นได้ที่ดินพิพาทราคา 7,6677,000 บาท โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินให้ตนในราคา 2,200,000 บาท ไม่ใช่ราคาที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนขายให้จำเลยที่ 3 และไม่ใช่ราคาตลาดที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 54กำหนดให้อำนาจโจทก์จะขอซื้อจากจำเลยที่ 3 คำฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามขายที่นาพิพาทในราคา 2,200,000 บาท เป็นคำฟ้องที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว ศาลไม่สามารถบังคับจำเลยทั้งสามให้โอนขายที่นาพิพาทในราคาตามคำฟ้องของโจทก์ได้การยื่นฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ยังจะเกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 3 แต่ถ่ายเดียว ศาลฎีกาไม่อาจบังคับตามคำฟ้องของโจทก์ได้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น