คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5690/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่ากันโดยแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้ระหว่างกัน ทำขึ้นเพื่อประโยชน์ในการลดจำนวนภาษีย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 ดังนั้น คำฟ้องของโจทก์ที่ขอแบ่งทรัพย์ซึ่งทำมาหาได้ จึงเป็นการขอเข้าจัดการสินสมรสร่วมกับจำเลยซึ่งโจทก์มีสิทธิร้องขอได้ตราบเท่าที่โจทก์และจำเลยยังคงมีฐานะเป็นสามีภริยากันอยู่และกรณีนี้มิใช่เป็นสิทธิเรียกร้องที่จะต้องดำเนินการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/9 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์ยินยอมให้จำเลยจัดการสินสมรสเพียงผู้เดียวตลอดมา จนกระทั่งปี 2543 โจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยมีภริยาอีกคน โจทก์จึงขอให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์และศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่าการที่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมแบ่งถือว่าจำเลยจัดการสินสมรสเป็นที่เสียหายถึงขนาดตาม ป.พ.พ. มาตรา 1484 (1) โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลสั่งแยกสินสมรสได้ตามมาตรา 1484 วรรคสอง และมาตรา 1492
เงินค่าซื้อที่ดินและเงินสดที่ยกให้บุตรทั้งสี่คนรวมแล้วประมาณ 40,000,000 บาท เป็นการยกสินสมรสให้บุตรโดยความยินยอมของโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งสินสมรสนี้ ส่วนเงินที่ได้มาจากการทำมาหาได้ของจำเลยหลังจากจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ แต่ศาลวินิจฉัยว่าการหย่าเป็นโมฆะ จึงต้องฟังว่า เงินดังกล่าวและดอกเบี้ยอีก 660,000 บาท เป็นสินสมรส ต้องนำมาแบ่งกันสำหรับหุ้นด้อยสิทธิของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) นั้น โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อเดือนตุลาคม 2546 จำเลยไปไถ่ถอนในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2546 อันเป็นการไถ่ถอนก่อนครบกำหนด และไม่แบ่งแก่โจทก์ ย่อมเป็นการจัดการสินสมรสโดยไม่ชอบ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอเข้าจัดการสินสมรสในส่วนนี้ได้ จำเลยต้องแบ่งให้โจทก์กึ่งหนึ่ง แต่ตามรายการโอนเงินค่าหุ้นและดอกเบี้ยเข้าบัญชีที่โจทก์เสนอแสดง ไม่ปรากฏรายการโอนดอกเบี้ย 5,000,000 บาท เข้าบัญชีตามที่โจทก์เบิกความ จึงไม่อาจบังคับในส่วนของดอกเบี้ยได้ ส่วนที่ดินพร้อมบ้านพิพาท จำเลยซื้อที่ดินมาในปี 2541 และปลูกบ้านในปี 2544 ถึง 2545 ดังนี้ เมื่อศาลวินิจฉัยว่าการหย่าเป็นโมฆะ ที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสของโจทก์จำเลย โจทก์ย่อมมีสิทธิใส่ชื่อร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งสินสมรส
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งเงินให้โจทก์จำนวน 5,000,000 บาท และให้จำเลยโอนแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 79424 ตำบลหนองบอน อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร เนื้อที่ 146 ตารางวา พร้อมบ้านเลขที่ 55/242 หมู่ที่ 5 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร 3,000 บาท คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงที่คู่ความต่างมิได้โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า โจทก์มีชื่อเล่นเรียกขานว่า “ป้อม” ตั้งแต่ปี 2505 โจทก์และจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกัน ระหว่างเป็นสามีภริยากัน มีบุตรด้วยกัน 4 คน ได้แก่ นางสาวจารุวรรณ นายปัญจวัชร นางสาวประภัสรา และนางสาวปฏาจารี โดยจำเลยประกอบอาชีพรับจ้างแสดงภาพยนตร์หาเลี้ยงครอบครัว ส่วนโจทก์เป็นแม่บ้าน จนกระทั่งปี 2533 บุตรทุกคนบรรลุนิติภาวะแล้ว จำเลยรวบรวมเงินรายได้จาการแสดงภาพยนตร์และจากการขายบ้านพร้อมที่ดินที่ซื้อหามาระหว่างเป็นสามีภริยากัน ได้เงินสดหลายล้านบาท และที่ดินพร้อมบ้านอีกจำนวนหนึ่งแล้วโจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนหย่ากันโดยบันทึกในทะเบียนหย่าว่า ค่าเลี้ยงดูไม่มี ทรัพย์สินไม่มี เรื่องอื่นๆ ไม่มี ตามสำเนาทะเบียนการหย่า ซึ่งเมื่อนับเวลาจากวันจดทะเบียนหย่ากันดังกล่าว ถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของโจทก์มีว่า สิทธิเรียกร้องขอให้แบ่งทรัพย์ตามฟ้องของโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่ โดยในประเด็นข้อนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่ากันโดยแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้ระหว่างกัน ทำขึ้นเพื่อประโยชน์ในการลดจำนวนภาษีย่อมเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 ดังนั้นคำฟ้องของโจทก์ที่ขอแบ่งทรัพย์ซึ่งทำมาหาได้ จึงเป็นการขอเข้าจัดการสินสมรสร่วมกับ จำเลยซึ่งโจทก์มีสิทธิร้องขอได้ตราบเท่าที่โจทก์และจำเลยยังคงมีฐานะเป็นสามีภริยากันอยู่ และกรณีนี้มิใช่เป็นสิทธิเรียกร้องที่จะต้องดำเนินการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/9 คดีโจทก์หาใช่ขาดอายุความตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาไม่ ฎีกาของโจทก์ในประการนี้ฟังขึ้น
เมื่อคดีฟังได้ดังกล่าว และโจทก์จำเลยต่างนำพยานหลักฐานเข้าสืบจนสิ้นกระแสความแล้ว เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาพิพากษาคดี จึงเห็นสมควรวินิจฉัยในปัญหาที่เหลือตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า จำเลยต้องแบ่งทรัพย์ตามฟ้องโจทก์หรือไม่โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษา ข้อนี้เบื้องแรกเห็นได้ว่าตามท้องสำนวนโจทก์ยินยอมให้จำเลยจัดการสินสมรสเพียงผู้เดียวตลอดมา จนกระทั่งปี 2543 โจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยมีภริยาอีกคน โจทก์จึงขอให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์และศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่าการที่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมแบ่งถือว่าจำเลยจัดการสินสมรสเป็นที่เสียหายถึงขนาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1484 (1) โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลสั่งแยกสินสมรสได้ตามมาตรา 1484 วรรคสอง และ 1492 และในประการนี้โจทก์อ้างในคำฟ้องว่าหลังจากจดทะเบียนการหย่ากันแล้ว โจทก์จำเลยคงมีสินสมรสที่โจทก์ประสงค์จะขอแบ่ง ได้แก่ เงินสดจากการขายที่ดินอันเป็นสินสมรสจำนวน 18,500,000 บาท เงินสดที่ฝากไว้กับธนาคารผู้มีชื่อ พร้อมดอกเบี้ยในนามนายปัญจวัชรและในนามจำเลยเป็นเงิน 19,000,000 บาท หุ้นด้วยสิทธิของธนาคารผู้มีชื่อจำนวน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 79424 เนื้อที่ 146 ตารางวา พร้อมบ้าน โดยโจทก์นำสืบว่าเป็นสินสมรสที่จำเลยรวบรวมมาจากเงินที่รับจ้างแสดงภาพยนตร์และจากการขายบ้านพร้อมที่ดินที่ซื้อหาได้มาระหว่างที่สมรสกัน ฝ่ายจำเลยนำสืบว่าจำเลยแบ่งเงินที่รวบรวมไว้ดังกล่าวให้แก่บุตรสาว 3 คน คนละ 5,000,000 บาท ให้แก่บุตรชาย 10,000,000 บาท และซื้อที่ดินให้บุตรทุกคน คนละ 1 แปลง สำหรับที่ดิน 3 แปลง ที่ยกให้บุตรสาวซึ่งแปลงหนึ่งมีบ้านเลขที่ 1025/1 ซอยอุดมสุข 31 ปลูกอยู่ด้วย เพิ่งขายไปในปี 2547 เป็นเงินราคาประมาณ 18,000,000 – 19,000,000 บาท ความข้อนี้ตรงกับที่นางสาวปฏาจารีบุตรสาวของโจทก์จำเลยพยานโจทก์เบิกความยอมรับไว้ทั้งยังรับรองด้วยว่าพยานกับพี่สาวอีก 2 คน ดังกล่าวได้รับเงินราคาขายที่ดินไปครบถ้วนแล้ว เช่นเดียวกับที่โจทก์เองก็เบิกความยอมรับว่าจำเลยมอบเงินให้โจทก์ส่งไปให้นายปัญจวัชรที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหลายครั้งรวมประมาณ 10,000,000 บาท จริง ดังนั้น ทั้งเงินค่าซื้อที่ดินและเงินสดที่ยกให้บุตรทั้งสี่คนรวมแล้วประมาณ 40,000,000 บาท จึงเป็นการยกสินสมรสให้บุตรโดยความยินยอมของโจทก์ นอกจากนี้บัญชีเงินฝากต่างๆ ดังกล่าว จำเลยก็ปิดบัญชีหมดแล้ว ที่สำคัญโจทก์นำสืบไม่ได้ว่ายังคงเหลือตัวเงินจริงเท่าใด อย่างไรก็ดี จำเลยให้การว่า เงินสดจำนวน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยซึ่งได้รับจากธนาคารเอเชีย จำกัด (มหาชน) สาขาสุขุมวิท 101/1 เป็นเงินที่ได้มาจากการทำมาหาได้ของจำเลยหลังจากจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ แต่ศาลวินิจฉัยว่าการหย่าเป็นโมฆะ จึงต้องฟังว่าเงินดังกล่าวและดอกเบี้ยอีก 660,000 บาท เป็นสินสมรส ต้องนำมาแบ่งแก่กัน สำหรับหุ้นด้อยสิทธิของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) จำนวน 10,000,000 บาท นั้น โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อเดือนตุลาคม 2546 จำเลยไปไถ่ถอนในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2546 อันเป็นการไถ่ถอนก่อนครบกำหนดและไม่แบ่งแก่โจทก์ ย่อมเป็นการจัดการสินสมรสโดยไม่ชอบเช่นเดียวกัน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอเข้าจัดการสินสมรสในส่วนนี้ได้ จำเลยต้องแบ่งให้โจทก์กึ่งหนึ่ง แต่ตามรายการโอนเงินค่าหุ้นและดอกเบี้ยเข้าบัญชีที่โจทก์เสนอแสดง ไม่ปรากฏรายการโอนดอกเบี้ย 5,000,000 บาท เข้าบัญชีตามที่โจทก์เบิกความ จึงไม่อาจบังคับในส่วนของดอกเบี้ยได้ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 79424 ตำบลหนองบอน อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร พร้อมบ้านเลขที่ 55/242 หมู่ที่ 5 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร จำเลยซื้อที่ดินมาในปี 2541 และปลูกสร้างบ้านในปี 2544 ถึง 2545 ดังนี้ เมื่อศาลวินิจฉัยว่าการหย่าเป็นโมฆะ ที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสของโจทก์จำเลย โจทก์ย่อมมีสิทธิใส่ชื่อรวมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมได้ ฎีกาในประการนี้ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษากลับ ให้จำเลยแบ่งเงินแก่โจทก์ 7,830,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้อง (วันที่ 28 ตุลาคม 2546) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยโอนแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 79424 ตำบลหนองบอน อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร เนื้อที่ 146 ตารางวา พร้อมบ้านเลขที่ 55/242 หมู่ที่ 5 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลเป็นพับ

Share