คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5683/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้มาหลอกลวงขอรับชำระหนี้เงินกู้จำนวน200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่โจทก์กู้เงินจาก ค. จากโจทก์ โดยจำเลยอ้างว่ารับแทน ค. และโจทก์หลงเชื่อได้มอบเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 216,000 บาท ให้จำเลยไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยเจตนาทุจริตเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2535โจทก์ที่ 1 ทำสัญญากู้เงินจากนายเคน เวียงนนท์ จำนวน200,000 บาท โดยโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและมีจำเลยเป็นพยาน นายเคนได้ยึดสัญญากู้และโฉนดที่ดินของโจทก์ไว้เป็นประกัน จำเลยเป็นผู้ไปเก็บดอกเบี้ยจากโจทก์ที่ 1แทนนายเคนทุกเดือน ต่อมาวันที่ 24 เมษายน 2537 เวลากลางวัน จำเลยบังอาจกระทำความผิด โดยเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ทั้งสองว่านายเคนให้จำเลยไปขอรับชำระหนี้เงินกู้ จำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระจำนวน 16,000 บาทโดยนายเคนฝากโฉนดที่ดินไปคืนโจทก์ทั้งสอง ส่วนสัญญากู้เงินนายเคนลืมไว้ในกระเป๋าเสื้อ เด็กนำเสื้อไปซัก สัญญากู้เงินฉีกขาดใช้ไม่ได้แล้ว โจทก์ทั้งสองหลงเชื่อจึงจ่ายเงินแก่จำเลยจำนวน 216,000 บาท แล้วรับโฉนดที่ดินคืนและให้จำเลยทำบันทึกรับเงินแทนไว้ ต่อมาวันที่ 7 กันยายน 2537 โจทก์ทั้งสองได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่นายเคนฟ้องโจทก์ทั้งสองเรียกเงินกู้จำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 16,000 บาทโจทก์ทั้งสองจึงทราบว่าถูกจำเลยหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ แล้วได้เงินจากโจทก์ทั้งสองไปจำนวน 216,000 บาทขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 216,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2535 โจทก์ที่ 1 ได้กู้เงิน นายเคน เวียงนนท์ จำนวน 300,000 บาท กำหนดชำระเงินคืน ภายใน 1 ปี โดยโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน และจำเลยลงลายมือชื่อเป็นพยานตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.3 ต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายน 2535 โจทก์ที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เงินนายเคนจำนวน 200,000 บาท ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4และนายเคนได้คืนสัญญากู้เงินฉบับเดิมตามเอกสารหมาย จ.3แก่โจทก์ที่ 1 ต่อมาวันที่ 25 กรกฎาคม 2537 นายเคนได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1313/2537ของศาลชั้นต้นให้ชำระเงินกู้จำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.4 ตามหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย จ.6 โจทก์ทั้งสองให้การในคดีแพ่งว่าได้ชำระเงินกู้ดังกล่าวให้แก่จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนของนายเคนไปแล้วตามสำเนาคำให้การเอกสารหมาย ล.3 และนายเคนได้ถอนฟ้องคดีแพ่งดังกล่าวแล้ว
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้มาขอรับชำระหนี้เงินกู้จำนวน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยที่โจทก์ที่ 1 กู้เงินจากนายเคนตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 จากโจทก์ที่ 1 โดยอ้างว่ารับแทนนายเคนและโจทก์ที่ 1 ได้มอบเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 216,000 บาทให้จำเลยไป โดยหลงเชื่อว่าจำเลยรับเงินแทนนายเคนเช่นนี้การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยเจตนาทุจริต เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือชำระเงินจำนวน 216,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

Share