แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกระทำความผิดต่อ ช.เจ้ามรดกในขณะที่ช.ยังมีชีวิตอยู่ ช.จึงเป็นผู้เสียหาย เมื่อช.ถึงแก่ความตาย โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทโดยธรรมของช.ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนช. เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 4,5 และ 6 ไม่ได้ให้อำนาจโจทก์ไว้ ทั้งสิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ตกทอดมายังโจทก์ แม้จะพิจารณาได้ความตามฟ้องว่าทรัพย์มรดกของ ช.ตกได้แก่โจทก์ก็ตามแต่ทรัพย์มรดกนั้นก็เพิ่งตกมาเป็นของโจทก์ภายหลังวันที่จำเลยกระทำความผิด โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของนายชด อ่อนวงษ์เมื่อระหว่างวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2519 ถึงวันที่ 2 มีนาคม 2519 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นปลัดอำเภอประจำเขตพญาไทได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจัดการให้จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของนางชดในใบมอบอำนาจตามแบบของกรมที่ดินให้จำเลยที่ 3มีอำนาจจดทะเบียนทำนิติกรรมโอนขายที่ดินของนางชดรวม 17 โฉนด จำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ร่วมกันพิมพ์หัวแม่มือของนางชดลงในใบมอบอำนาจดังกล่าวรวมหลายฉบับ แล้วร่วมกันลงข้อความในหนังสือมอบอำนาจและให้จำเลยที่ 5 ที่ 6 ลงชื่อเป็นพยานรับรองในหนังสือมอบอำนาจนั้น แล้วจำเลยที่ 1ได้ลงชื่อและประทับตราเขตพญาไทรับรองโดยทุจริตว่า ใบมอบอำนาจดังกล่าวได้กระทำต่อหน้าตนและนางชดผู้มีสติสมบูรณ์ซึ่งเป็นความเท็จ ต่อมาจำเลยที่ 3ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ได้นำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร แขวงพญาไท ขอโอนขายที่ดินของนางชดให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 4 รวม 3 คราว คือ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1 มีนาคมและ 2 มีนาคม 2519 รวม 17 โฉนด เป็นเงิน 12,150,000 บาท ซึ่งความจริงแล้วไม่มีการชำระเงินกันเลย เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อจึงจดทะเบียนโอนให้หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้งหกได้ทำนิติกรรมขายที่ดินของนางชดดังกล่าวซึ่งมอบให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 รักษาไว้ แล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของจำเลยทั้งหก หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้งหกได้หลอกลวงนางชดให้พิมพ์นิ้วมือลงในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวโดยอาศัยความเจ็บป่วยและความชราอันเป็นการอ่อนแอแห่งจิตของนางชด (ขณะนั้นอายุ 83 ปี) ต่อมาวันที่ 19 เมษายน 2519นางชดถึงแก่กรรม ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,160, 162(1)(2), 341, 342(2), 346, 352, 353, 83 และให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์
วันนัดไต่สวนมูลฟ้องศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงให้งดไต่สวนมูลฟ้องและพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงตามฟ้องได้ความว่าตามวันเวลาแห่งความผิดที่โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้งหกได้ร่วมกันกระทำผิดต่อนางชดผู้ตาย ซึ่งเกิดขึ้นขณะที่นางชดผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ หลังจากนั้นนางชดจึงถึงแก่กรรม และต่อมาโจทก์ได้เป็นผู้จัดการมรดกของนางชดผู้ตายตามคำสั่งของศาลแพ่ง ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า การฟ้องคดีอาญานั้นต้องเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) แต่คดีนี้จำเลยกระทำผิดขณะที่นางชดยังมีชีวิตอยู่ นางชดจึงเป็นผู้เสียหาย เมื่อนางชดตาย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 4, 5, 6 ไม่ได้ให้อำนาจโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้เสียหายฟ้องคดีแทน แม้โจทก์จะเป็นทายาทโดยธรรมและเป็นผู้จัดการมรดกด้วยก็ตาม แต่สิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ตกทอดมายังโจทก์ หากพิจารณาได้ความว่าทรัพย์มรดกของนางชดตกได้แก่โจทก์ก็ดีแต่ที่ดินที่เป็นมรดกนั้นเพิ่งตกมาเป็นของโจทก์ภายหลัง วันที่จำเลยกระทำผิดโจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย
พิพากษายืน