คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 568/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จ่าสิบตำรวจ ส.กับพวกพบจำเลยกับพวกสะพาย อาวุธปืนยาวมาคนละกระบอก จ่าสิบตำรวจ ส. กับพวกจึงขอตรวจค้น จำเลยส่งอาวุธปืนยาวให้เจ้าพนักงานตำรวจแล้วได้กระโดดหนีเจ้าพนักงานตำรวจ และจ่าสิบตำรวจ ส.จึงได้กระโดดเข้าจับจำเลยและกอดปล้ำกันตกลงไปตามทางลาดชัน การที่จำเลยกระโดดหนีเจ้าพนักงานตำรวจนี้ ยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138, 140, 288, 289, 371, 80, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพว่า มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปโดยไม่ได้รับอนุญาตแต่ปฎิเสธ ว่าไม่ได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก,72 วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140วรรคสาม, 289(2) ประกอบมาตรา 80, 371 ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต 3 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างนับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา คงจำคุก 37 ปี 6 เดือน รวมจำคุก37 ปี 15 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าจ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ เหลี่ยมศรี กับเจ้าพนักงานตำรวจอีกหลายนายพบจำเลยกับพวกสะพาย อาวุธปืนยาวมาคนละกระบอกจ่าสิบตำรวจประสิทธิ์กับพวกจึงขอตรวจค้น จำเลยได้ส่งอาวุธปืนยาวให้เจ้าพนักงานตำรวจ ต่อมามีการชุลมุนกันและในที่สุดเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนลูกซองสั้นอีก 1 กระบอก กระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 39 นัดปลอกกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 1 ปลอก และข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานตามฟ้องหรือไม่ ตามคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ สิบตำรวจเอกอดิศักดิ์ เสนธนิลศักดิ์ สิบตำรวจเอกสมบูรณ์ ประยูรศรีและจ่าสิบตำรวจสมบัติ ใจเอื้อนพยานโจทก์ที่เบิกความว่า เมื่อจำเลยส่งอาวุธปืนยาวให้จ่าสิบตำรวจเอกสมบูรณ์แล้ว จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ได้ร้องว่าไอ้ตี๋ จำเลยได้ถอนเป้ที่สะพาย หลังออกแล้วกระโดดลงข้างทางซึ่งลาดชัน จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์กระโดดตามลงไปจับตัวจำเลยและกอดปล้ำกันกลิ้งลงไป แล้วสิบตำรวจเอกอดิศักดิ์ก็ตามลงไปด้วยนั้น เห็นว่า จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ รู้จักจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน ส่วนสิบตำรวจเอกอดิศักดิ์สิบตำรวจเอกสมบูรณ์ และจ่าสิบตำรวจสมบัติ ไม่รู้จักจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่พยานโจทก์ดังกล่าวจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย และเชื่อว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความไปตามจริงจำเลยแม้จะมีนายสมนึก อินกัน ที่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพร้อมจำเลยมาเบิกความว่า เจ้าพนักงานตำรวจใส่กุญแจมือจำเลยแล้วและจะเข้ารวบตัวจำเลย จำเลยจึงเซถลาตกลงไปตรงที่ลาดชันนั้นไม่สมเหตุสมผลเพราะเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยใส่กุญแจมือจำเลยไม่สามารถหลบหนีได้แล้วไม่มีเหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจจะต้องไปรวบตัวจำเลยไว้พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงจะเห็นได้ว่าจำเลยได้กระโดดหนีเจ้าพนักงานตำรวจ จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์จึงได้กระโดดเข้าจับจำเลยและกอดปล้ำกันตกลงไปตามทางลาดชัน ซึ่งการที่จำเลยกระโดดหนีเจ้าพนักงานตำรวจนี้ยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ สำหรับปัญหาว่าจำเลยชักอาวุธปืนออกมาจ้องไปทางจ่าสิบตำรวจประสิทธิ์หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้ต่อสู้ขัดขวางและใช้ปืนของกลางดังกล่าวยิงผู้เสียหายหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฎิบัติการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 วรรคสาม, 289(2) ประกอบมาตรา 80 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share