แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหาอาจถูกบังคับให้ชำระหนี้แต่เพียงบางส่วนไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 320 หากโจทก์เห็นว่าตนยังมิได้รับชำระหนี้สมดังสิทธิตามคำพิพากษาก็ชอบที่จะบอกปัดไม่ยอมรับ จนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยสิ้นเชิง แต่โจทก์กลับละเสียซึ่งประโยชน์ตามมาตราดังกล่าว โดยยอมรับเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้ตามคำพิพากษาบางส่วน ดังนั้น หนี้จำนวนนั้นจึงเป็นอันเปลื้องไป ทั้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 (2) ก็มีความหมายว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาอาจชำระหนี้แต่บางส่วนได้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงมีสิทธิขอให้บังคับคดีเฉพาะแต่ส่วนที่เหลือเท่านั้น
จำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง เท่าที่คิดว่าพอแก่จำนวนที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องโดยไม่ยอมรับผิดการวางเงินเช่นนี้ย่อมไม่เป็นเหตุระงับการเสียดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 136
จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาบางส่วนไม่เพียงพอจะเปลื้องหนี้สินได้ทั้งหมด จึงต้องใช้ดอกเบี้ยก่อนแล้วจึงชำระหนี้เงินต้นอันเป็นหนี้ประธานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 หักแล้วจำเลยยังค้างชำระอยู่เท่าใดก็ต้องเสียดอกเบี้ยในเงินจำนวนนั้นจนถึงวันที่จำเลยชำระหนี้ครั้งต่อไป
โจทก์ขอเลื่อนนัดสอบถามของศาลแรงงานกลางเกี่ยวกับการรับชำระหนี้ของโจทก์ โดยอ้างว่าขาดการติดต่อทนายความจะขอปรึกษาทนายความโจทก์ก่อน เมื่อศาลฎีกาได้หยิบยกข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีตามที่ปรากฏในท้องสำนวนขึ้นวินิจฉัยโดยละเอียดทุกถ้อยกระทงความแล้ว แม้โจทก์มีโอกาสปรึกษาหารือทนายโจทก์ก่อน ก็หาหยิบยกข้อเท็จจริง และพฤติการณ์แห่งคดีนอกเหนือไปจากท้องสำนวนให้เป็นอย่างอื่นได้ไม่ จะทำได้อย่างที่สุดก็เพียงแต่คำแถลงการณ์ ซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยให้เป็นอย่างอื่นได้ การที่จะขอปรึกษาทนายโจทก์ก่อน จึงไม่จำเป็นไม่เป็นประโยชน์แก่คดี.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าว ค่าชดเชย ค่ารับรองและค่าพาหนะ พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ มีปัญหาในชั้นบังคับคดีว่าจำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ครบถ้วนและเป็นการถูกต้องหรือไม่ โดยศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า โจทก์คงมีสิทธิได้รับชำระหนี้อีก ๒๘๑.๓๔ บาท
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหาอาจจะถูกบังคับให้รับชำระหนี้แต่เพียงบางส่วนไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๐ เมื่อความปรากฏแก่โจทก์ในวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๒๙ ว่า เช็คฉบับแรกที่สั่งจ่ายเงิน ๖๔,๓๓๖.๖๖ บาท พ้นวันถึงกำหนดใช้เงินไปแล้วคงมีแต่เช็คฉบับที่สองสั่งจ่ายเงินเพียง ๑๖,๕๐๐ บาท ซึ่งหาพอแก่หนี้เงินต้นทุกจำนวน ๖๓,๙๔๖.๖๖ บาทไม่ ทั้งนี้ โดยยังมิได้คิดถึงดอกเบี้ยด้วย หากโจทก์เห็นว่าตนยังมิได้รับชำระหนี้สมดังสิทธิตามคำพิพากษา โจทก์ก็ชอบที่จะบอกปัดไม่ยอมรับเช็คฉบับที่สองเสียได้โดยให้จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยสิ้นเชิงก่อน แต่กรณีหาเป็นเช่นนั้นไม่ โจทก์กลับละเสียซึ่งประโยชน์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๐ แล้วรับชำระหนี้ ๑๖,๕๐๐ บาทตามเช็คฉบับที่สองแต่โดยดี การยอมรับชำระหนี้ ๖๔,๖๐๐ บาท ตามเช็คฉบับที่สามเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ ก็ดุจกันกับเช็คฉบับที่สองหนี้ทั้งสองส่วนจำนวน ๘๐,๐๐๐ บาทจึงเป็นอันเปลื้องไป ทั้งเมื่อพิเคราะห์ตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๕ (๒) แล้วมีความหมายว่า ลูกหนี้ตามคำพิพากษาอาจชำระหนี้แต่บางส่วนได้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิขอให้บังคับคดีเฉพาะแต่ส่วนที่เหลือเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากถ้อยคำใน มาตรา ๒๗๕ (๒) ที่ว่า ‘ที่ยังมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น’ดังนั้น กรณีย่อมแปลได้ว่าส่วนที่บังคับไปแล้วหาอาจจะบังคับซ้ำอีกได้ไม่ ซึ่งโจทก์จะบังคับหนี้ตามคำพิพากษาเต็มจำนวนโดยมิให้หักส่วนที่ได้ปลดเปลื้องไปแล้วหาชอบด้วยความเป็นธรรมและหาชอบด้วยกฎหมายส่วนสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติตามที่กล่าวมาแล้วไม่
เมื่อจำเลยวางเงินตามเช็คฉบับแรก ๖๔,๓๗๖.๖๖ บาท เท่าที่จำเลยคิดว่าพอแก่จำนวนที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องโดยไม่ยอมรับผิดการวางเงินเช่นว่านี้ย่อมไม่เป็นเหตุระงับการเสียดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๖ เพราะฉะนั้น ดอกเบี้ยสำหรับเงินต้น ๔ จำนวนตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางจึงต้องคิดจนถึงวันที่จำเลยวางเงินโดยยอมรับผิด ซึ่งเป็นวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๒๙ หลังจากศาลฎีกาพิพากษาคดีแล้ว…..ฯลฯ ดอกเบี้ยสำหรับเงินต้น ๔ จำนวน รวมเป็นเงิน๑๖,๔๕๘.๓๘ บาท จำเลยชำระหนี้เพียง ๑๖,๕๐๐ บาท ซึ่งไม่เพียงพอจะเปลื้องหนี้สินได้ทั้งหมด จึงต้องใช้ดอกเบี้ยก่อน แล้วจึงชำระหนี้เงินต้นอันเป็นประธานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๓๒๙ เมื่อจัดชำระหนี้ตามที่กล่าวข้างต้นแล้วจำเลยคงค้างชำระเงินต้นอันเป็นหนี้ประธานอีก ๖๓,๙๐๕.๐๔ บาท จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยสำหรับเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๒๙ จนถึงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ อันเป็นวันที่จำเลยวางเช็คฉบับที่สามสั่งจ่ายเงิน ๖๔,๖๐๐ บาท ซึ่งคิดเป็นดอกเบี้ย ๙๓๒.๒๓ บาท รวมเงินต้นที่ค้างชำระกับดอกเบี้ยที่เกิดใหม่เป็นเงิน ๖๔,๘๓๗.๒๗ บาท เพราะฉะนั้นวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ จำเลยจึงค้างชำระเงินต้นอยู่เพียง ๒๓๗.๒๗ เมื่อคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ ถึงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ จึงเป็นดอกเบี้ย ๖.๐๗ บาท รวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยจึงเป็นเงิน ๒๔๓.๓๔ บาท อันเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับที่ศาลแรงงานกลางคำนวณได้
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ขอเลื่อนการสอบถามตามคำร้องลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๓๐ เพื่อติดต่อและปรึกษาทนายโจทก์ก่อน แต่ศาลแรงงานกลางกลับด่วนสอบถามทันที ไม่ให้โอกาสโจทก์ปรึกษาทนายโจทก์ก่อน ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลแรงงานกลางนั้นเสียเห็นว่า ชั้นนี้ศาลฎีกา ได้หยิบยกข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีตามที่ปรากฏในท้องสำนวนขึ้นวินิจฉัยโดยละเอียดทุกถ้อยกระทงความแล้ว แม้โจทก์มีโอกาสปรึกษาหารือทนายโจทก์ก่อน ทนายโจทก์ก็หาอาจจะหยิบยกข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีนอกเหนือไปจากท้องสำนวนให้เป็นอย่างอื่นใดไม่จะทำได้อย่างที่สุดก็เพียงแต่ ‘คำแถลงการณ์’ ใด ๆ หากมี ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยตามที่กล่าวมาแล้วให้เป็นอย่างอื่นได้ ที่โจทก์ขอปรึกษาหารือทนายโจทก์ไม่จำเป็นไม่เป็นประโยชน์แก่คดี
พิพากษายืน.