คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5676/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา182เมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องและศาลรับคำฟ้องแล้วศาลย่อมนัดชี้สองสถานไปได้โดยแจ้งกำหนดวันชี้สองสถานให้คู่ความทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวันเท่านั้นไม่ต้องนับจากวันที่จำเลยที่1มีสิทธิยื่นคำให้การจะทำให้คดีล่าช้าโดยไม่จำเป็นและวันนัดชี้สองสถานนั้นศาลอาจอนุญาตให้เลื่อนไปได้หากมีเหตุสมควรทั้งการนัดชี้สองสถานตั้งแต่วันที่ศาลรับคำฟ้องเช่นในคดีนี้ก็ไม่ทำให้จำเลยที่1และที่3ต้องเสียเปรียบเพราะจำเลยที่1สามารถแถลงเสนอประเด็นข้อพิพาทหรือตกลงกันกะประเด็นข้อพิพาทต่อศาลได้เมื่อศาลทำการชี้สองสถานแล้วจำเลยที่1และที่3ก็ไม่ได้โต้แย้งว่าการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลไม่ถูกต้องอย่างไรเมื่อศาลชั้นต้นแจ้งกำหนดวันชี้สองสถานให้จำเลยที่1และที่3ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวันการกำหนดวันชี้สองสถานของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้งดสืบพยานจำเลยที่1เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาไม่ปรากฎว่าจำเลยที่1ได้โต้แย้งไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 44,536.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 40,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน43,369,862.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน40,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จหากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินที่จำเลยที่ 3 นำมาจำนองไว้ต่อโจทก์ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์หากได้เงินไม่พอชำระขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยขอให้โจทก์เป็นผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสี่ฉบับตามฟ้องของโจทก์คำขอให้โจทก์รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญาจำนองท้ายฟ้องเกิดจากเจตนาลวงโดยสมรู้ร่วมกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 3ทั้งนี้เนื่องจากโจทก์ได้ตกลงร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 3 เพื่อซื้อที่ดินที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยานำมาทำสนามกอล์ฟและจัดสรรขายแต่โจทก์ติดขัดปัญหาเกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับและกฎหมายที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังกำหนดไว้ โจทก์จึงขอให้จำเลยที่ 1 ทำคำขอให้โจทก์รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสี่ฉบับและให้จำเลยที่ 3 นำที่ดินที่จัดซื้อมาจำนองเป็นประกันเพื่อหลีกเลี่ยงระเบียบข้อบังคับและกฎหมายในการนำเงินจากธนาคารโจทก์>ออกมาร่วมลงทุนดังกล่าว โดยโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 3ไม่มีเจตนาให้การรับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสี่ฉบับและสัญญาจำนองมีผลผูกพันกันตามกฎหมาย อีกทั้งตามข้อตกลงร่วมลงทุน จำเลยที่ 3จะคืนเงินแก่โจทก์เมื่อโครงการสนามกอล์ฟและจัดสรรที่ดินได้เสร็จสิ้นลงแล้วแต่ปรากฎว่าโครงการดังกล่าวยังไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องเงินคืนจากจำเลยที่ 1 และที่ 3 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะโจทก์จ่ายเงินตามภาระอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสี่ฉบับให้แก่ผู้รับเงินไปภายหลังจากสัญญาค้ำประกันได้สิ้นสุดลงแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน40,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง หากจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินที่จำเลยรวม 73 โฉนด ตามรายละเอียดในเอกสารหมาย จ.7 พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เป็นของจำเลยที่ 3นำออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 และที่ 3 นำออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาข้อแรกว่าศาลนัดชี้สองสถานในวันที่ 8 มกราคม 2536 ไม่ชอบ เพราะไม่ครบ30 วัน นับจากวันที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 182 การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนวันนัดชี้สองสถานไม่ชอบ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 182 บัญญัติว่า”เมื่อได้ยื่นคำฟ้อง คำให้การและคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ถ้าหากมีแล้วให้ศาลทำการชี้สองสถานโดยแจ้งกำหนดวันชี้สองสถานให้คู่ความทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวัน” ฉะนั้นเมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องและศาลรับคำฟ้องแล้วศาลย่อมนัดชี้สองสถานไปได้ โดยแจ้งกำหนดวันชี้สองสถานให้คู่ความทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวันเท่านั้น ไม่ต้องนับจากวันที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิยื่นคำให้การจะทำให้คดีล่าช้าโดยไม่จำเป็น และวันนัดชี้สองสถานนั้นศาลอาจอนุญาตให้เลื่อนไปได้หากมีเหตุสมควร ทั้งการนัดชี้สองสถานตั้งแต่วันที่ศาลรับคำฟ้องเช่นในคดีนี้ก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ต้องเสียเปรียบแต่อย่างใด เพราะจำเลยที่ 1 สามารถแถลงเสนอประเด็นข้อพิพาทหรือตกลงกันกะประเด็นข้อพิพาทต่อศาลได้เมื่อศาลทำการชี้สองสถานแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็ไม่ได้โต้แย้งว่าการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลไม่ถูกต้องอย่างไร คดีนี้ศาลชั้นต้นแจ้งกำหนดวันชี้สองสถานให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวัน การกำหนดวันชี้สองสถานของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว และที่จำเลยที่ 1 แถลงขอเลื่อนวันชี้สองสถานโดยอ้างว่ามีเอกสารที่ต้องตรวจสอบมาก ก็ปรากฎว่าในวันชี้สองสถานจำเลยทั้งสามแถลงว่าไม่มีเอกสารส่งศาล ส่วนฝ่ายโจทก์ก็ส่งเอกสารเพียง 18 ฉบับเท่านั้นคำแถลงของจำเลยที่ 1 จึงเลื่อนลอย ไม่มีเหตุจะอนุญาตให้เลื่อนวนชี้สองสถาน ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1และที่ 3 ยื่นคำให้การในวันที่ 18 ธันวาคม 2535 เมื่อนับถึงวันชี้สองสถานมีเวลาเหลือเพียง 21 วัน จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงไม่มีโอกาสขอแก้คำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 180 ได้ เห็นว่า ตามกฎหมายมาตราดังกล่าว หากมีเหตุสมควรที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่อาจยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การได้ก่อนนั้นศาลก็อนุญาตได้อยู่แล้ว และคดีนี้ก็ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ขอแก้ไขคำให้การแต่อย่างใด จึงไม่ทำให้จำเลยที่ 1 และที่ 3ต้องเสียเปรียบดังที่อ้าง จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อสุดท้ายว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 เลื่อนคดี และมีคำสั่งให้งดสืบพยานไม่ชอบเพราะไม่ได้ทำการไต่สวนให้ปรากฎแจ้งชัดเสียก่อนเห็นว่า ทนายจำเลยที่ 1 มอบฉันทะให้เสมียนทนายนำคำร้องมายื่นขอเลื่อนคดี อ้างเหตุว่าป่วย ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยที่ 1 ขอเลื่อนคดีเป็นครั้งที่ 7 จึงเห็นว่าจำเลยที่ 1 ประวิงคดีและได้พิเคราะห์ใบตรวจแพทย์ไม่ปรากฎว่าแพทย์ลงความเห็นว่าทนายจำเลยที่ 1ป่วยจนกระทั่งไม่สามารถมาศาลได้แต่อย่างใด จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี และให้งดสืบพยานจำเลยที่ 1 คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 ได้โต้แย้งไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน

Share