คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5674/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ที่จะฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลจะต้องเป็นบุคคล ดังบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(11) และคำว่าบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้แก่บุคคลธรรมดา และนิติบุคคลห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพียงแต่จดทะเบียนพาณิชย์ไว้เพื่อ ทำการค้าเท่านั้น มิใช่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ฟ้องคดีต่อศาลไม่ได้ และจะมอบอำนาจให้บุคคลอื่นฟ้องและดำเนินคดีแทนก็ไม่ได้
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นเรื่องอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ของประชาชน แม้จะไม่ใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้ว ในศาลชั้นต้น จำเลยก็มีสิทธิอุทธรณ์เป็นประเด็นขึ้นมาได้ ในชั้นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ ก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ ได้จดทะเบียนไว้แล้วที่สำนักงานทะเบียนพาณิชย์อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในการดำเนินคดีนี้โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายสมมาส หาญผจญโชค เป็นผู้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ จำเลยที่ 1 ที่ 3เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการประเภทไม่จำกัดความรับผิด จำเลยที่ 1 ได้จ้างโจทก์ทำของและซ่อมแซมสิ่งของหลายอย่างหลายครั้งเพื่อใช้ในกิจการทำเหมืองแร่ รวมค่าจ้างทำของ 96,310 บาท จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วน คงค้างชำระหนี้42,210 บาท โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 11,817.68บาท รวมทั้งสิ้น 94,027.68 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน 94,027.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 94,027.68บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์จะเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญได้จดทะเบียนแล้วและมอบอำนาจให้นายสมมาส หาญผจญโชค ฟ้องคดีนี้หรือไม่ ไม่รับรอง และตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ในช่องผู้รับมอบอำนาจไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้มอบอำนาจแต่อย่างใด จำเลยทั้งสามไม่เคยว่าจ้างโจทก์ให้ทำของและซ่อมแซมสิ่งของต่าง ๆ ไม่เคยชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกค่าจ้างทำของภายในกำหนดเวลา 2 ปี คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 94,027.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในจำนวนเงิน 82,210 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญได้จดทะเบียนพาณิชย์ไว้โดยชอบ มีนายกาหิน แซ่หิว เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ แต่มิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1015และมาตรา 1064 ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ทำและซ่อมแซมสิ่งของจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย นายกาหิน แซ่หิว หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ จึงมีอำนาจฟ้องคดีในนามโจทก์ได้ เพราะโจทก์มิใช่นิติบุคคล ฟ้องของโจทก์มีความหมายในตัวว่า “โจทก์โดยนายกาหิน แซ่หิว ผู้จัดการและโดยนายสมมาส หาญผจญโชค ผู้รับมอบอำนาจ โจทก์” โจทก์โดยนายกาหิน แซ่หิวมีอำนาจมอบอำนาจให้นายสมมาส หาญผจญโชค ฟ้องและดำเนินคดีแทนได้การมอบอำนาจจึงสมบูรณ์นั้น เห็นว่า ผู้ที่จะฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลนั้นจะต้องเป็นบุคคลทั้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(11)ได้บัญญัติยืนยันไว้ว่า คู่ความหมายความว่า บุคคลผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาลบุคคลมีอยู่ 2 ชนิด คือบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล โจทก์เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพียงแต่จดทะเบียนไว้เพื่อทำการค้าเท่านั้น โจทก์จึงมิใช่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลจึงฟ้องคดีต่อศาลไม่ได้ และโจทก์จะมอบอำนาจให้นายสมมาส หาญผจญโชคฟ้องและดำเนินคดีแทนก็ไม่ได้เช่นกัน ทั้งตามฟ้องโจทก์มิใช่เป็นเรื่องนายกาหินแซ่หิว หุ้นส่วนผู้จัดการฟ้องคดี แต่เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเอง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องชอบแล้ว ที่โจทก์ฎีกาอีกว่า อุทธรณ์ของจำเลยในข้อที่ว่าโจทก์มิใช่นิติบุคคล ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นอุทธรณ์ที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 เพราะไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เห็นว่าปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์เป็นประเด็นขึ้นมาได้ และศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสองศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share