คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5671/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์จำเลยหย่ากันและแบ่งทรัพย์สินซึ่งระบุให้จำเลยโอนที่ดินจำนวน 14 ไร่ ที่บริษัทม. จำกัด เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โดยจำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการเพียงผู้เดียวพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัทกระทำการแทนบริษัทได้ให้โจทก์ สัญญานี้ระบุด้วยว่า คำพิพากษาตามยอมไม่บังคับถึงทรัพย์สินของบุคคลภายนอกคดี การที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์เป็นการกระทำในฐานะส่วนตัว มิได้ทำในฐานะเป็นผู้แทนบริษัทดังกล่าวข้อตกลงตามสัญญานี้จึงไม่ผูกพันบริษัท ม. จำกัด คำพิพากษาตามยอมไม่อาจบังคับเกี่ยวกับที่ดินจำนวน 14 ไร่ ของบริษัท ม. จำกัดซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี การบังคับให้จำเลยชำระหนี้ในส่วนนี้จึงกลายเป็นพ้นวิสัย ดังนี้ ศาลจะบังคับให้จำเลยโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ไม่ได้.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจาก ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้โจทก์จำเลยหย่ากันและให้แบ่งทรัพย์สินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 14 ไร่ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทมวลชน จำกัด ให้แก่โจทก์เพราะเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทดังกล่าว จำเลยเข้าใจว่าจำเลยจะต้องโอนหุ้นของจำเลยในบริษัทดังกล่าวให้แก่โจทก์ เพราะหุ้นเป็นทรัพย์สินของจำเลยเองแต่โจทก์ไม่ยอม ขอให้ศาลแปลสัญญายอมความข้อนี้ด้วย และโจทก์ยื่นคำร้องว่า ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินและส่งทอบทรัพย์สินต่าง ๆในโครงการภัททิยกิจตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องให้แก่โจทก์ด้วยต่อมาศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ให้โจทก์ดำเนินการทำใบมอบอำนาจโอนที่ดินและหุ้นซึ่งจะต้องโอนให้จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามแบบและข้อความที่ทางราชการกำหนดภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันมีคำสั่ง ภายใต้เงื่อนไขว่า ให้จำเลยดำเนินการโอนที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 รายการทรัพย์สินที่ 25 ให้โจทก์ภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันมีคำสั่งหากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมแทนการแสดงเจตนาการบังคับให้โอนทรัพย์สินในกรณีนี้ไม่จำต้องตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนที่ขอให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี และคำขอเกี่ยวกับทรัพย์สินในโครงการภัททิยกิจ 55 รายการ ซึ่งนอกเหนือจากสัญญาเสีย
จำเลยอุทธรณ์ว่า คำพิพากษาตามยอมไม่ผูกพันบริษัทมวลชน จำกัดซึ่งเป็นบุคคลภายนอก
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลใช้บังคับจำเลยต้องปฏิบัติตามสัญญา แต่สัญญามิได้ตกลงให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นเฉพาะที่ให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมเป็นการแสดงเจตนาแทนเสียนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาว่าจะบังคับให้จำเลยโอนที่ดิน14 ไร่ ตามสำเนาโฉนด 5 ฉบับ ท้ายคำร้องโจทก์ลงวันที่ 24 สิงหาคม2532 ได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้วสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกันเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2532 ข้อ 2 วรรคแรกระบุว่า “ทรัพย์สินระหว่างโจทก์กับจำเลยให้แบ่งกันตามข้อตกลงในรายงานการประชุม ณ โรงแรมเวล ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ซึ่งโจทก์จำเลยตกลงกันเมื่อวันที่ 8 เมษายน2532 ตามภาพถ่ายรายงานการประชุม และบัญชีทรัพย์รวม 25 รายการซึ่งให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ โดยมีข้อตกลงเพิ่มเติมดังนี้ ฯลฯ” และข้อความในวรรคสุดท้ายของข้อ 2มีว่า “รายการทรัพย์สินที่ 25 ที่ดินบริษัทมวลชน จำกัด เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ บริษัทดังกล่าวมีนางสุจินดา ภัททิยกุล จำเลย เป็นกรรมการผู้จัดการเพียงผู้เดียวพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัทกระทำการแทนบริษัทได้ โดยนางสุจินดาจำเลยจะดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 14 ไร่ ดังกล่าวของบริษัทมวลชน จำกัด ให้แก่นายวารินทร์ ภัททิยกุล โจทก์” และสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 11 ระบุว่า “ข้อตกลงตามเอกสารท้ายสัญญายอมในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคลภายนอกคดีนั้น คำพิพากษาตามยอมในคดีนี้ไม่บังคับถึงบุคคลภายนอกคดี” ตามข้อตกลงดังกล่าวแสดงว่าที่ดินจำนวน 14 ไร่ ตามรายการทรัพย์สินที่ 25 นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทมวลชน จำกัด จำเลยเพียงแต่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทนี้ได้เท่านั้น ที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ตามสัญญาดังกล่าวนั้นจำเลยทำในฐานะส่วนตัวมิได้ทำในฐานะเป็นผู้แทนของบริษัทดังกล่าว ข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันบริษัทมวลชน จำกัด และตามสัญญา ข้อ 11 ก็ได้ระบุไว้ชัดแล้วว่า ข้อตกลงตามเอกสารท้ายสัญญายอมในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคลภายนอกคดีนั้น คำพิพากษาตามยอมคดีนี้ไม่บังคับถึงบุคคลภายนอกคดี สัญญาข้อ 11 เป็นข้อสาระสำคัญอย่างยิ่งมิฉะนั้นแล้วคู่ความทั้งสองฝ่ายก็คงไม่เขียนข้อนี้ลงไว้เป็นข้อสุดท้ายของสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ คำพิพากษาตามยอมคดีนี้จึงไม่อาจบังคับเกี่ยวกับที่ดินจำนวน 14 ไร่ ของบริษัทมวลชน จำกัด ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี การที่จะบังคับให้จำเลยชำระหนี้ในส่วนนี้จึงกลายเป็นพ้นวิสัย ศาลจะบังคับให้จำเลยดำเนินการโอนที่ดิน 14 ไร่ ตามรายการทรัพย์สินที่ 25 ซึ่งเป็นของบริษัทดังกล่าวให้แก่โจทก์ไม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยดำเนินการโอนที่ดินจำนวน 14 ไร่ ของบริษัทดังกล่าวให้แก่โจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่บังคับจำเลยโอนที่ดินจำนวน 14 ไร่ของบริษัทมวลชน หรือมวลชนธุรกิจ จำกัด ตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2532 ข้อ 2 วรรคท้าย ให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share