แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์คดีจึงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า คดีนี้ยังมิได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบถึงข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้อง ศาลชั้นต้นเพียงแต่ตรวจคำฟ้องโจทก์แล้วสั่งงดไต่สวนมูลฟ้อง และพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยทำเป็น คำพิพากษานั้น ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 167 ประกอบกับมาตรา 182 ที่ถูกต้องทำเป็นคำสั่ง ไม่ประทับฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 ประกอบกับมาตรา 186 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงมีผล เป็นเพียงยืนตามคำสั่งไม่ประทับฟ้อง กรณีจึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ส่วนในข้อหาแพ่งนั้นให้โจทก์ไปฟ้องใหม่ยังศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 68) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (สำนวนตอนที่ 2 อันดับ 71 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่า การกระทำของ จำเลยไม่เป็นความผิด คดีไม่มีมูลและพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน คดีของโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง