คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5655-5751/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2541 จำเลยได้ส่งสำเนาประกาศเลิกจ้างโจทก์ จากสำนักงานกลางกรุงเทพมหานคร ทางโทรสารไปปิดประกาศเพื่อแจ้งให้โจทก์ทราบที่โรงงานน้ำตาลลำปางที่โจทก์สังกัดอยู่ แม้จะมีการปิดประกาศในวันนั้น แต่จะมีผลเป็นการบอกกล่าวเลิกจ้างต่อเมื่อโจทก์ได้ทราบประกาศดังกล่าวแล้ว โจทก์ทราบการบอกกล่าวเลิกจ้างของจำเลยวันที่ 3 กรกฎาคม 2541 ต้องถือว่าจำเลยบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2541 และมีผลเป็นการเลิกจ้างกันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าคือวันที่ 30 สิงหาคม 2541 เมื่อการบอกกล่าวเลิกจ้างของจำเลยที่ประสงค์ให้เป็นผลเลิกจ้างกันในวันที่ 1 สิงหาคม 2541 ไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 582 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในเดือนสิงหาคม 2541 จำนวน 30 วันตามฟ้อง และจำลเยต้องชำระดอกเบี้ยของสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 7 ประกอบด้วยมาตรา 224 นับแต่วันฟ้องซึ่งถือเป็นวันผิดนัดด้วย

ย่อยาว

โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดฟ้องใจความทำนองเดียวกันว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดเป็นลูกจ้างทำงานเป็นพนักงานโรงงานน้ำตาลลำปาง ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายก่อนจำเลยเลิกจ้างคนละเดือนละระหว่าง ๕,๔๕๐ บาท ถึง ๒๔,๕๒๐ บาท ต่อมาจำเลยบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดเป็นหนังสือ ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ ให้มีผลเป็นการเลิกจ้างในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๑ โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดได้รับทราบการบอกกล่าวเลิกจ้างจากจำเลยวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นการบอกกล่าวที่มิชอบ โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าคนละ ๓๐ วัน และค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน แต่จำเลยไม่ยอมจ่าย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยตามคำขอท้ายฟ้องแต่ละสำนวนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ด
จำเลยทั้งเก้าสิบเจ็ดสำนวนให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดและจ่ายค่าชดเชยครบถ้วนแล้ว ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดในวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ ให้มีผลเป็นการเลิกจ้างวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๑ เป็นการบอกเลิกจ้างโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดอุทธรณ์ว่า การที่จำเลยนำเอกสารการบอกกล่าวเลิกจ้างไปปิดประกาศที่อาคารหกเหลี่ยมใกล้ประตูเข้าออกของโรงงานน้ำตาลลำปางของจำเลยวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ เวลา ๑๖.๕๕ นาฬิกา เหลือเวลาอีก ๕ นาที จะถึงเวลา ๑๗ นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาเลิกงาน ซึ่งเวลาดังกล่าวโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดมิได้อยู่ในโรงงานน้ำตาลดังกล่าวครบทุกคน จึงไม่อาจทราบประกาศได้ ส่วนแบบฟอร์มการบอกเลิกจ้างโจทก์เป็นรายบุคคลซึ่งจำเลยดำเนินการพิมพ์ชื่อโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดลงในแบบฟอร์มภายหลังวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยบอกกล่าวเลิกจ้างในวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ โดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า การที่จำเลยส่งประกาศการเลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดจากสำนักงานกลางกรุงเทพมหานคร ไปปิดประกาศเพื่อแจ้งให้โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดทราบที่โรงงานน้ำตาลลำปางที่โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดสังกัดอยู่นั้นจะมีผลเป็นการบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดก็ต่อเมื่อโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดได้ทราบประกาศดังกล่าวแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดได้ทราบประกาศดังกล่าวในวันนั้น กรณีจึงยังไม่อาจถือว่าจำเลยได้บอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ ทั้งข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดฟ้องและจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธฟังเป็นยุติว่า โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดได้ทราบการบอกกล่าวเลิกจ้างของจำเลยวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๑ ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๑ และมีผลเป็นการเลิกจ้างกันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๑ การบอกกล่าวเลิกจ้างของจำเลยที่ประสงค์ให้เป็นผลเลิกจ้างกันในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๑ จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดได้รับค่าจ้างเดือนสุดท้ายคือเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๑ คนละเดือนละระหว่าง ๕,๔๕๐ บาท ถึง ๒๔,๕๒๐ บาท โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดจึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในเดือนสิงหาคม ๒๕๔๑ จำนวน ๓๐ วัน ตามฟ้อง และจำเลยต้องชำระดอกเบี้ยของสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗ ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๔ นับแต่วันฟ้องซึ่งถือเป็นวันผิดนัดให้แก่โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดด้วย ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ดนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙๗ เท่ากับค่าจ้างคนละหนึ่งเดือนเป็นเงิน… ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๔๒) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งเก้าสิบเจ็ด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.

Share