แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมโจทก์ฟ้อง ก. ขอหย่าและแบ่งสินสมรส ซึ่งมีที่ดินพิพาทนิคมสร้างตนเองพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี – ลพบุรี จัดสรรให้แก่ ก. สมาชิกนิคมทำประโยชน์รวมอยู่ด้วย ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีถึงที่สุดให้ ก. แบ่งสินสมรส ซึ่งรวมที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง โดยขณะนั้นยังไม่มีการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทแต่อย่างใด เมื่อกรมประชาสงเคราะห์เป็นบุคคลภายนอกคดีย่อมไม่ใช่คู่ความในคดีเดิม ที่ดินพิพาทจึงอยู่ในบังคับ พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ซึ่งตาม พ.ร.บ. ดังกล่าวไม่มีบทมาตราใดที่ระบุว่า ก่อนมีการออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วให้ถือว่าบุคคลที่รัฐอนุญาตให้เข้าทำกินมีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์เด็ดขาด แต่กลับมีมาตรา 12 บัญญัติว่า “ภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน ผู้ที่ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ นอกจากการตกทอดโดยทางมรดกหรือโอนไปยัง สหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ แล้วแต่กรณี” และในวรรคสองบัญญัติว่า “ภายในกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ที่ดินนั้นไม่ตกอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี” ดังนั้น ที่ดินพิพาทยังคงเป็นที่ดินที่รัฐยังไม่ได้มอบสิทธิครอบครองให้แก่ ก. ในขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุด เมื่อ ก. เพิ่งได้รับหนังสือแสดงการทำประโยชน์และออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทมาภายหลัง จึงไม่ใช่สินสมรสระหว่างโจทก์และ ก. ดังนี้ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งรับโอนมรดกจาก ก. ให้แบ่งที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และ ก. ตามคำพิพากษาของศาลได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมนายกิมจุ้ยเป็นโจทก์ ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้น เรื่องหย่า สินสมรส ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยหย่าขาดกับโจทก์ และให้จำเลยแบ่งสินสมรสรวมถึงที่ดินจัดสรรให้ทำกินของนิคมสร้างตนเองพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี – ลพบุรี เนื้อที่ประมาณ ๒๕ ไร่ แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๙๕/๒๕๒๘ ต่อมานายกิมจุ้ยลอบนำที่ดินแปลงดังกล่าวออกโฉนดเลขที่ ๓๒๓๗๘ เนื้อที่ประมาณ ๒๔ ไร่ ๓ งาน ๙ ตารางวา มีชื่อนายกิมจุ้ยถือกรรมสิทธิ์ผู้เดียว อันเป็นการไม่ชอบ เพราะโจทก์มีกรรมสิทธิ์ที่ดินกึ่งหนึ่งและนายกิมจุ้ยทำพินัยกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๓๗๘ ให้แก่จำเลย ต่อมานายกิมจุ้ยถึงแก่กรรม จำเลยจึงรับโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๓๗๘ ขอให้บังคับจำเลยไปแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๓๗๘ เนื้อที่ ๒๔ ไร่ ๓ งาน ๙ ตารางวา ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่แบ่งแยก ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา